Author: drpanlop

การ Settings iPhone 16

บทความนี้เหมาะสำหรับ user ที่ข้ามมาจาก iPhone ที่ต่ำกว่า 15Pro นะครับ

เพราะ เป็นการตั้งค่า iPhone 16 series ที่มี 2 ปุ่มใหม่ (ใหม่สำหรับ iPhone 15, 15Plus ลงไป) คือ

  1. Action button
  2. Camera control button

ร่วมกับการ integrate ของ iOS 18 ครับ

ก่อนจะมา iPhone 16 เครื่องที่ผมใช้อยู่คือ 6s+ ครับ

ใช้เพราะเป็นความผูกพันจาก “เพื่อนสนิท” ท่านหนึ่ง ที่คบกันมายาวนาน ผมจึงใช้เครื่องนี้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 ครับ โดยในระหว่าง 2558-2567 ผมได้มีโอกาสจับ iPhone 11, 13, 14, 15 เป็นช่วงสั้นๆ แต่ก็รู้สึกยังไม่ลงตัวในการใช้งานครับ ทำให้ต้องกลับไปที่ 6s+ มาตลอด

จนมาถึง iPhone 16 ในปีนี้ การใช้งาน 6s+ เริ่มถึงทางตัน เพราะการ support iOS ของ Apple หยุดที่ iOS 15.8.3 ทำให้การใช้ Widgets และ app หลายตัวใน App Store เริ่มมีปัญหา (ใช้งานไม่ได้ บาง Developer หยุด support)

ประกอบกับความลงตัวของ Apple ในการพัฒนา Dynamic island (ตั้งแต่ iPhone 14), การใช้ USB type-C port (เริ่มใน iPhone 15) และการเปลี่ยนแปลง iOS ของ iOS 18 ที่มีการปรับหน้า Home screen ร่วมกับ การปรับราคาเริ่มต้นตอนเปิดตัวในการขายที่ประเทศไทย ลดลงจาก iPhone 15 series ~ 5% จึงทำให้ผมตัดสินใจเปลี่ยนจาก 6s+ มาใช้ iPhone 16 อย่างเป็นถาวรครับ

รูปแสดง 6s+ ที่ผมใช้งานอย่างต่อเนื่องมา 9 ปี (เคยเปลี่ยนแบตจาก Apple Store @CTW ไป 1 ครั้ง)

ใช้กันจน Support ครั้งสุดท้ายครับ (น่าจะ) เพราะการ update ทำเพียง Security patch ไม่มีการเพิ่ม function ใหม่ๆ จาก Apple แล้ว

ปีนี้ (พ.ศ. 2567) Apple ยังให้ ไทย เป็น Tier 1st ในการวางขายครับ

เปิดตัว Apple event วันอังคารที่ 10 ก.ย. –> Preorder วันศุกร์ที่ 13 ก.ย. –> ขายและรับเครื่อง วันแรกในอีก ศุกร์นึง ต่อมา คือ วันที่ 20 ก.ย. 67

บังเอิญที่วันศุกร์ เป็นวันที่ผมว่างงานครับ ทำให้มีโอกาสได้ใช้ iPhone 16 ตั้งแต่วันแรกที่เปิดขาย

บรรยากาศของวันแรก ค่อนข้างวุ่นวายตามคาด ปกติการ Order แล้วเข้าไปรับสินค้าใน Apple Store จะใช้เวลา ~ 15 min แต่วันนั้นซัดไป 40 นาทีครับ น้องๆ ที่ Apple Store ทำงานได้ดีมาก สังเกตว่า ถึงจะโดนต่อว่าจาก ลูกค้า ที่ไม่เข้าใจ process ของวันแรก แต่น้องๆ ก็ยิ้มแย้ม และ ตอบขอโทษ อย่างใจเย็น ซึ่งผมอยู่ในเหตุการณ์อย่างใกล้เลย รู้สึกชื่นชมมาก น้องๆ มี Service mind และ train มาดีจริงๆ

บรรยากาศที่ถ่ายจากชั้น 2 ตอนนั้นสายแล้วครับ ผู้คนที่มาต่อแถวด้านหน้า แบบที่เห็นในข่าว หลบไปรอด้านข้าง Store กันหมดแล้ว (คือ เริ่มร้อน)

ผมยังรอ Que รับเครื่อง เลยเล่นเครื่อง Demo อยู่ใกล้ๆ

ลองเข้าเวบจาก เครื่อง Mac Air (M3) demo

ลองวัดความเร็ว WiFi ใน Apple Store พบว่า speed ต่ำมาก ตามคาด เพราะมีลูกค้าที่ใช้ WiFi นี้ set เครื่อง ถ่ายโอนข้อมูลจากทั้งเครื่องเก่า และ iCloud กันใน shop เลย

คือ มันจะช้ามากครับ อยากแนะนำว่า เข้าไปหาร้านนั่งกินกาแฟใน CTW แล้วใช้ WiFi ของ Operator เช่น AIS จะได้ High speed ที่สูงกว่านี้ครับ คือได้ถึง 1xx Mbps ขึ้นไป ซึ่งเร็วเพียงพอ

ดูเครื่อง iPhone 16 Demo เล่นๆ ครับ

16PM black Ti

i16 Ultra-marine

ปีนี้ Apple จัดรุ่น 16, 16Plus ให้ได้สีที่สวยมากจริงๆ

เมื่อใส่ Silicone case

ตัวนี้คือ Beat case ที่ขายใน Store ครับ ทำจาก TPU และด้านในบุกำมะหยี่

บุกำมะหยี่ ราคาเคส เท่า Silicone case เลย

Silicone case

ราคาจัดว่า แพงมาก สำหรับ Silicone

ผมลองใช้ wk กว่าๆ รู้สึกไม่ต่างจาก Silicone รุ่นแล้วๆ มาครับ

เลยนำไปคืน Apple Store เป็นที่เรียบร้อย

ตอนนี้ Apple ไม่ผลิต leather case แล้ว หลังจาก Fine woven case ปิดฉากไป ก็ยังไม่มี วัสดุเทียบหนัง ตัวอื่นๆ เข้ามาแทน

ที่มีขายในไทย ที่คุ้มราคามากที่สุด สำหรับ leather case ผมให้ของ Nomad ครับ (ราคาเท่า Apple Silicone case แต่ได้ leather case)

เทียบขนาดหน้าจอ และ มิติเครื่อง 16 (ซ้ายมือผู้อ่าน) vs 16Pro(ขวามือ)

ลองดูความจุของ iOS 18 ที่อยู้ในเครื่องเปล่าๆ ที่ยังไม่ได้ลง app จากภายนอกครับ

กิน space ไป ~ 40 GB (ให้ไว้เป็นข้อพิจารณาในการเลือกความจุเครื่อง)

ได้เวลากลับพอดี

ผมเลือกการถ่ายโอนข้อมูลเครื่องเก่า จาก iPad Air ที่ใช้งานประจำแทนที่จะใช้ 6s+ ครับ เพราะ app และ ข้อมูลการจัดเรียง icons ใน Home screen update กว่า (ตอนนี้ iPad เครื่องนี้ใช้ iOS 18.1 beta 4 ครับ)

การ Transfer เลือกใช้ cable

Unbox

ขณะนี้ iPhone ที่ขายในไทย ยังผลิตจากโรงงาน Foxconn ที่จีน ประเทศเดียวเท่านั้นครับ

แต่ปลายปีนี้ Apple จะให้โรงงาน Foxconn ที่รัฐทมิฬนาฑู เริ่มผลิต iPhone 16Pro series (ปกติโรงงานนี้จะผลิต iPhone series ธรรมดา แต่ปีนี้จะเป็นครั้งแรกที่ผลิตรุ่น Pro)

รูปนี้แสดงเข็มจิ้ม SIM tray ของ Apple เทียบเข็มที่ให้มากับ 6s+ เทียบกับที่อยู่ในกล่องปัจจุบันครับ

ของเก่าจะกลมและใหญ่กว่า

เตรียม Transfer

ภาพเริ่มต้นการ Transfer จากหน้าจอ iPad

ภาพจากหน้าจอ iPhone

Process คล้ายๆ การทำ Direct transfer แต่ผมอยากดูว่า ถ้าใช้ cable จะทำได้เร็วกว่าหรือไม่?

ปรากฏว่า เร็วมาก (เร็วกว่า Estimate time ที่เครื่องคำนวณไว้)

หลังจากนั้นเป็นการ Sync ข้อมูลกับเครื่อง Mac ครับ

หน้าตาเครื่องเมื่อ Transfer เสร็จ

สิ่งแรกที่ต้องทำเลย หลัง Transfer data เสร็จ คือ การลองกล้องครับ

นี่คือ รูปจากกล้องรูปแรก

ลองกล้องหน้า

เมื่อเทียบกับ Preview พบว่า Apple ยังให้รูปที่ได้มีการ process หนักเหมือนเดิม

(รูปที่ได้ สีมืดกว่าที่ Preview)

ลอง Macro mode ผมเล็งไปที่หยดน้ำ ตรงกลีบดอกบัว ทิศ 8 นาฬิกา

0.5x

1x

2x

5x (ไม่ได้ใช้ขาตั้งกล้องนะครับ)

ลอง Lanscape แบบมีแสงพอ

ผม shot จาก BTS บางหว้า ครับ เล็งไปที่ป้ายชื่อ รพ.

ระยะ 800 ม. ครับ

0.5x

1x

2x

5x

ระยะเดียวกัน ตอนกลางคืนบ้าง เล็งไปที่ป้ายชื่อ รพ. เหมือนเดิม

0.5x

1x

2x

5x

ลองใช้กล้องในที่ทำงาน

พบว่า ระยะที่ดีที่สุด คือ 2x ครับ

ระยะ 5x ไม่ค่อย work ถ้าใช้มือจับ (ต้องใช้ขาตั้งกล้อง)

ในส่วนของกล้อง โดยรวม iPhone 16 ไม่ต่างจาก 15 ครับ มันคล้ายกันมาก ซึ่งสอดคล้องกับ Score จากเวบที่ทดสอบ

ผลออกมาไม่ค่อยแตกต่างครับ

เช่น Dxomark ปกติถ้า Apple เปลี่ยนแปลงกล้องมากๆ อันดับ Dxomark จะเข้ามาที่ 2nd แต่ปีนี้หลุดไป 3rd

นั่นหมายความว่า ก่อนสิ้นปีนี้ iPhone 16PM จะถูกค่ายจีน เบียดตกจาก Top 5 แน่ๆ

Phone Arena

ของค่ายนี้ เห็นได้ชัดว่า กล้อง 16PM ไม่ได้ต่างจาก 15PM อย่าง significant เลย

แต่ ถ้าลองวัดความรู้สึกจากการใช้งานจริง อาจเป็นอีกแบบ

ผมลองให้ลูกน้องเล่น เพื่อทดสอบกล้องหน้า สภาพแสงในคลินิก

ถามความรู้สึกเขาดู ก็บอกว่า ชอบกล้องหน้าของ i16 กันนะครับ บอกดีกว่า รุ่นก่อนๆ มาก (อันนี้คือ Selfie แบบไม่ได้ปรับ Skin tone (คือไม่ใช้ Photographic styles))

การใช้งานวันที่ 2 เข้า log in ทุก app ในเครื่องเรียบร้อย

หลัง Unbox ใน 2-3 วันแรก ถ้าพบอาการผิดปกติ เช่น การใช้งานเครื่องช้าผิดปกติ หรือ อาจเจอ Restart ตัวเอง แบบไม่ได้ทำอะไร คือ วางไว้เฉยๆ หรือ รู้สึก battery ลดเร็วมาก ทั้งที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน ก็ยังไม่ต้องตกใจนะครับ

บางคนอาจจะเจอข้อความนี้ที่ Settings –> Battery

เกิดจาก iOS ที่ทำงานเบื้องหลัง

เช่น ต้อง index รูปทั้งหมดใหม่ครับ สมมติเราจะ search รูปใน album โดยใช้ วันที่ ที่ถ่ายรูป ในช่วงเวลาต่างๆ หรือ ค้นรูปที่ถ่ายตาม place ต่างๆ ข้อมูลที่บันทึกในรูป จะถูกจัดเรียงและทำ index ตาม time line และ place นั้นๆ ให้เรียบร้อยก่อน  เราจึงใช้การ search รูปใน album ได้ ใน iOS 18 มีการเพิ่มความสามารถของ AI 1 ในนั้นคือ Natural language search คือ การค้นหารูปที่ใช้คำสั่งได้ใกล้เคียงภาษามนุษย์มากขึ้น เช่น ค้นรูปเด็กที่กำลังวิ่งเล่นในสนามฟุตบอล (คำสั่งค้นซับซ้อนขึ้น) การทำ index ก็จะซับซ้อน และใช้เวลามากกว่าเดิม (การทำงานนี้จะอยู่ในเบื้องหลัง)

หรือ การ Sync ข้อมูลในเครื่องกับ iCloud etc.

หลังเข้าไปใช้ service ของ Apple Store จะมี Questionaire ตามมาให้ประเมิน น้องพนักงาน ที่เข้ามา take care เราทุกครั้ง

ซึ่งข้อดี คือ ถ้าใครเจอ Bad impression จากพนักงาน ก็จัดเต็ม ประเมินกลับไปได้เลย

อีกเรื่องที่มีการเปลี่ยนแปลงของ i16 คือ การใช้งาน 5G กับ Operator AIS ครับ

ในค่าย True เดิม เราสามารถใช้ 5G SA (Stand Alone) ได้ ด้วยการใช้ Physical SIM card ที่เป็น SUCI SIM ตั้งแต่ iOS 16.4

รูปแสดง SUCI SIM card ของ True

เทียบกับ SIM 5G ทั่วไป ไม่เห็นความแตกต่าง

ส่วนของ AIS เดิมต้องใช้ e-SIM เท่านั้น จึงจะใช้ 5G SA ใน iPhone ได้

ถ้าใช้ Physical SIM card จะขึ้นแบบนี้ครับ

รูปแสดง 5G Stand Alone เป็น grey menu ไม่สามารถเปิดใช้งานได้

ถ้าลองใช้ Field test mode คือ กด *3001#12345#*แล้วกด โทรออก

จะได้หน้านี้ออกมา

สังเกตว่า บรรทัดที่ 2 ระบุ 5G NSA (Non Stand Alone)

แต่ตอนนี้ AIS ไม่จำเป็นต้องใช้ e-SIM เพื่อใช้ 5G SA แล้วครับ

เพียงเราไปเปลี่ยน SIM เป็น SIM รุ่นใหม่ ของ AIS ก็ใช้งาน 5G SA ใน area ที่รองรับได้ทันที

ลองทดสอบ Field test mode ทันทีที่เปลี่ยน SIM ใหม่

การตั้งค่า

ในส่วนนี้จะพูดรวมกันทั้ง iOS 18 และ i16 นะครับ เพราะความสามารถบางอย่างแยกกัน และบางสิ่งร่วมกัน

1. หน้า Lock screen

สังเกตแถวล่างสุด เดิมเป็น Torch และ Camera ตอนนี้เราปรับให้เป็นอย่างอื่นได้แล้ว

หรือ จะไม่วางอะไรไว้เลย ก็ได้ครับ

วิธีคือ อยู่ที่หน้า Lock screen แล้วกดค้างไว้นานๆ จะเข้ามาที่หน้านี้ครับ

ถ้าเราแตะ – ออก ก็จะได้หน้านี้มาทันที

แต่ถ้าเพิ่ม + ก็สามารถเลือก function อื่น มาวางได้ครับ

การ Settings ทำได้ทั้งจากหน้า Lock screen โดยตรง หรือ เข้า Settings ของเครื่อง –> Wallpaper –> Customize ก็ได้

2. การปรับ Action button

ผมเลือกวิธีใช้ Shortcut ครับ เมื่อปรับ Action button ให้มี Shortcut จะได้คล้ายๆ แบบนี้

รูปที่ Home screen เมื่อเรากด Action button ค้าง จะเรียก

ไฟฉาย, SCB scan จ่าย, 7-11 QR code จ่าย, Truemoney QR code จ่าย, ปิดเสียง, สุดท้าย คือ การยกเลิก ไม่เลือกอะไรเลย

ครั้งแรก เราต้องสร้าง Shortcut ทึ่ต้องการก่อน

ตัวอย่างเช่น Shortcut ของไฟฉาย

Shortcut ของ SCB scan

Shortcut ของ 7-11

Shortcut ของ Truemoney

Shortcut ของ Cancel

จากนั้นรวมทุก Shortcut เข้าด้วยกันเป็น 1 action ครับ ในที่นี้คือ Shortcut ที่ผมตั้งชื่อว่า Action

ภายใน Action Shortcut ก็จะมีการจัดเรียงไว้แบบนี้

หลังจากนั้น เข้า Settings –> Action button แล้วเลือก Shortcut ที่เราต้องการครับ

สำหรับ Shortcut ของ Wallet อื่นๆ ติดตามได้ที่เพจ Magi ครับ

ตัวอย่าง Wallet Deep link อื่นๆ เพื่อสร้าง Shortcut

3. การตั้งค่า Camera control button

ตรงปุ่มนี้ จะมี 2 ตำแหน่งครับ

(3.1) Settings –> Camera

Camera control –> Camera

เมื่อเลือก Clean Preview เวลาใช้ปุ่ม Camera control ค่า menu ต่างๆ บนหน้าจอ จะถูกลบออกไปทั้งหมด ให้เราเห็นเฉพาะ menu ที่อยู่ใต้ Camera control button

แต่ถ้า “ปิด” Clean Preview จะได้หน้าจอแบบนี้ (หน้าจอ Camera app แบบปกติ)

การ launch camera ใช้การกดเรียกครั้งเดียว (Single click) จะสะดวกสุด

นอกจากนั้น การ map ปุ่ม Control camera เพื่อเรียก app อื่น เช่น IG หรือ Halide ก็เปลี่ยนใน menu ล่างสุด ได้ด้วย

(3.2) การตั้งค่า Camera control button ในส่วนที่ 2 อยู่ใน Settings –> Accessibility

ในส่วนนี้เป็นการตั้งค่า น้ำหนัก การเลื่อนของปุ่มที่กดครับ

การควบคุมปุ่ม ให้เลือกทั้ง Light-press และ Swipe จะเป็นการควบคุมได้ ทั้งการแตะเบาๆ หรือ แค่การไถนิ้วเลื่อนผ่าน

ส่วน น้ำหนักการกด ให้เลือก Lighter เพื่อให้กดได้ง่ายที่สุดครับ

ส่วนการเลือก Double light-press speed ให้เลือก Slower คือ speed ในการกด Double click ช้าที่สุด (เท่าที่จะทำได้) จะทำให้การเปลี่ยน menu ทำได้ง่ายขึ้นครับ

4. การจัดระเบียบของ Photo Album ตรงนี้เป็นความสามารถใหม่ของ iOS 18 ที่ Apple ปรับให้ใหม่แล้วงงมาก

วิธีแก้ไขคือ เข้า Photo app ในเครื่อง แล้วเลื่อนลงมาล่างสุดครับ

จะเจอ ” Customize & Reorder”

ให้กดเข้าไป แล้วค่อยเลือกปรับตามที่ชอบใจ ของผมจะได้แบบนี้

ส่วนของการปรับที่สำคัญที่สุด คือ Pinned Collections ครับ

เพราะส่วนนี้ เป็นการรวม menu อื่นๆ ที่มีทั้งใหม่ และเป็น menu ที่ซ้ำซ้อนกับส่วนอื่นๆ การปรับ Pinned Collections จะทำให้หน้าตาของ Photo app กลับไปดูง่ายเหมือนใน iOS ที่ผ่านมาครับ

ให้เลือก Modify Pinned Collections จะเจอหน้านี้ครับ

จะเห็นว่า มี menu ที่ซ้ำซ้อนกับส่วนอื่นๆ เยอะมาก ให้เลือกแสดงเฉพาะ menu ที่ต้องการเท่านั้นครับ ช่วยให้หน้าตาภายใน Photo app ดูโล่งขึ้น ไม่ซับซ้อน

หน้าตา Photo app ในเครื่องที่ปรับใหม่

iPhone 16 + iOS 18 เป็นเครื่องมือที่ทำให้การดำรงชีวิตประจำวันดีขึ้นมาก ใช้งานเครื่องให้สนุกครับ

ref:

  1. https://www.apple.com/iphone-16-pro/specs/
  2. https://events-delivery.apple.com/2907awdhsyhpvlytqgjqgskvlqzxnhph/m3u8/vod_index-wQcWZLpctCRAsNbtagWZNbgMeoyExYKV.m3u8
  3. https://unwire.hk/2024/08/21/iphone-16-pro-assembled-india-first-time/mobile-phone/
  4. https://www.dxomark.com/smartphones/
  5. https://www.phonearena.com/phones/benchmarks/camera
  6. https://pantip.com/topic/41951022
  7. https://www.facebook.com/photo.php?fbid=10160523741123320&id=137707208319&set=a.409508763319
  8. https://www.facebook.com/magiDIY

วิธีดูแลสุขภาพช่องปากผู้สูงอายุจากมุมมองหมอฟันปลอม

จากการทำงาน “แบบตั้งรับ” ในคลินิกเอกชน เป็นระยะเวลา 24 ปี

ระยะเวลาที่ยาวนานเกิน 20 ปี ทำให้ผมได้เห็นภาพที่ต่อเนื่อง จากคนไข้ทั้งประจำ และ ไม่ประจำ (ได้แก่ คนไข้ที่มาบ้างนานๆ ครั้ง และ คนไข้ที่พบกันแค่ครั้งเดียว หรือ 2 ครั้ง)

ถ้านับคนไข้ที่พบกัน เมื่อ 20 ปีที่แล้ว เป็นคนอายุ 40 ปี ในปีนี้ คนไข้จะอายุ 60 ปี เข้าคำจำกัดความผู้สูงอายุไปทันที

ในช่วงที่ผ่านมา เราจะเริ่มได้ยินคำว่า “สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์”

สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ หมายความว่า ตั้งแต่ปีที่แล้ว (พ.ศ. 2566)

เวลาเดินตลาดเจอคนไทย 10 คน จะพบ ผู้สูงอายุ 2 ท่าน

จากรูป ถึงแม้ภาคกลางจะมีจำนวนผู้สูงอายุ มากที่สุด (คือ มากกว่าทุกภาค)

แต่สำหรับจังหวัดนครปฐม ถ้าดูตัวเลขแล้ว ภาพรวมของทั้งจังหวัด และ ใน อ.เมือง ตัวเลข ผู้สูงอายุ / จำนวนประชากรทั้งหมด ตัวเลขจำง่ายๆ อยู่ที่ 17 % ครับ

ข้อมูลล่าสุด ณ ปีนี้ พ.ศ. 2567

และจาก การสำรวจของ กระทรวงสาธารณสุข ตามตารางนี้นะครับ

ผมขอใช้เป็น “ต้นแบบ” ในการแบ่งกลุ่ม การดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน ตามแนวทางนี้เลย

ผู้สูงอายุในกลุ่มติดสังคม และ กลุ่มติดบ้าน ถือ เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อ การเกิดโรคในช่องปากต่ำ – ปานกลาง (ในกลุ่มนี้มีโอกาสเกิดความเสี่ยงสูง อยู่ด้วย ขึ้นกับ พฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น อาหารที่ชอบกิน, เครื่องดื่มที่ชอบดื่ม, ความบ่อยในการกินอาหาร หรือ นิสัยอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับการกิน เช่น การสูบบุหรี่ เป็นต้น)

ส่วนผู้สูงอายุในกลุ่มติดเตียง ถือว่า เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ถ้าติดเตียงโดยมีองค์ประกอบร่วม คือ

  1. เป็นผู้สูงอายุที่ยังมีฟันธรรมชาติ
  2. เป็นผู้สูงอายุที่ยังมีฟันธรรมชาติ และยังใช้ฟันปลอมร่วมด้วย (อาจจะเป็นแบบติดแน่น หรือ ฟันปลอมแบบถอดได้)
  3. ผู้สูงอายุที่ไม่มีฟันธรรมชาติเลย และยังใช้ฟันปลอมทั้งปากอยู่

การดูแลที่ต่างกัน ความแตกต่างนั้นมีอยู่ปัจจัยเดียว คือ ความสามารถในการแปรงฟัน ดูแล ด้วยมือของตัวเองได้ กับ ต้องมีผู้ช่วยเหลือ คอยดูแล นั่นเองครับ

ตอนนี้จะพูดถึงในกลุ่มแรกก่อน คือ ผู้สูงอายุที่ดูแลตัวเองได้ครับ

โดยทั่วไป เรารู้ว่า ควรแปรงฟันวันละ 2 ครั้ง แต่สิ่งที่รู้กันน้อยมาก คือ เราควรแปรงฟันกัน ครั้งละนานกี่นาที ?

เรารู้ว่า ยาสีฟันมี ฟลูออไรด์ และต้องการแปรงฟันให้ ฟลูออไรด์ในยาสีฟัน ซึมเข้าไปในผิวฟัน เพื่อป้องกันไม่ให้ฟันผุ

ถ้าเราลองดูตัวเลข เวลาที่หมอฟัน ทายาที่เป็นฟลูออไรด์ชนิดเข้มข้นบนผิวฟัน ความเข้มข้นที่ใช้ทาของยา จะมี ฟลูออไรด์ ~ 10,000-20,000 ppm ใช้เวลาทานาน ~ 2-4 นาที

ทีนี้ ยาสีฟันสูตรทั่วไปที่ใช้กันจะมี ปริมาณฟลูออไรด์ ~ 1,500 ppm ( มากที่สุดที่หาซื้อในทั่วไป)

ระหว่าง ยาฟลูออไรด์ กับ ยาสีฟัน ที่ใช้กันตามบ้าน จะมีปริมาณ ฟลูออไรด์ ต่างกัน = 15,000/1,500 = 10 เท่า

นั่นหมายความว่า ถ้าให้ได้ผลป้องกันฟันผุได้ดี ใกล้ๆ กัน เราต้องให้ยาสีฟันสัมผัสฟัน นาน = 3 x 10 = 30 นาที

ซึ่งเป็นตัวเลขที่แปลกประหลาดมาก ถ้าจะมีคำแนะนำให้แปรงฟันถึง 30 นาที

แต่ก็เป็นไปแล้วในปัจจุบันครับ และตัวเลขนั้นมากกว่า 30 นาที ขึ้นไปอีก

(เป็นเอกสารจาก สำนักงานทันตสาธารณสุช กรมอนามัย สธ ที่ได้ไปค้นคว้ามาอีกที)

สำหรับวิธีการแปรงฟัน ปัจจุบัน จะใช้คำแนะนำให้ขยับแปรงสั้นๆ หรือ หมุนแปรงเป็นวงกลม วนไปมา โดยให้ตำแหน่งขนแปรงอยู่ใกล้ๆ ขอบเหงือก ถือเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดครับ

ref:

การขยับแปรงเพียงจังหวะ “สั้นๆ” หรือ หมุนเป็นวงกลม (วงรี ก็ได้) จุดประสงค์ที่แฝงไว้คือ เป็นการไม่ทำให้เกิดฟันสึก ครับ โดยเฉพาะในส่วนของฟันที่ง่ายต่อการสึกมากที่สุด ตามตำแหน่งในรูปนี้ครับ

เรื่องนี้ ขอขยายอีกนิด ในมุมของหมอฟันปลอมครับ

คือ แม้ในการตรวจของหมอฟัน ก็ยังมีหมอที่เห็นคนไข้ที่มีลักษณะแบบนี้ แล้วต้องถามต่อว่า “ใช้แปรงที่มีขนแปรงแข็ง มั๊ยครับ?”

แต่ประวัติจริงๆ ของคนไข้คนนี้ คือ เขาไม่ได้ใช้การแปรงฟันด้วย แปรงสีฟัน และ ยาสีฟัน ครับ แต่ให้ประวัติคือ ชอบกินส้มมาก และกินวันละหลายลูก

การสึกที่คอฟัน ในรูปนี้เกิดการการกัดฟัน และกรดจากน้ำผลไม้ คือ น้ำสัมครับ

สำหรับคนไทย แหล่งของกรดจากอาหาร นอกจากน้ำผลไม้มาจากกรดที่มาจากผลไม้ เช่น มะนาว และ น้ำส้มสายชู ที่อยู่ในเครื่องปรุงอาหาร และ กรดในน้ำอัดลมครับ

วิธีการที่กรดเข้าไปทำลายผิวฟัน

คือ การละลาย แคลเซียม และ ฟอสเฟต ที่ผิวฟัน และ เนื้อฟัน

ปัจจุบัน ความรู้ทางทันตแพทย์สมัยใหม่ เริ่มให้น้ำหนักเรื่อง ขนแปรงที่แข็ง แล้วทำให้ฟันสึก น้อยมากครับ

เพราะแปรงสีฟันที่ได้มาตรฐาน ผ่านการรับรองคุณภาพทั้งจาก สคบ. และ กรมอนามัย สธ. ไม่มีแปรงขนแข็งแล้วครับ มีเพียง ชนิด Soft และ Ultra-Soft คือ นุ่ม กับ นุ่มที่สุด

โอกาสที่ขนแปรงจะทำอันตรายจากผิวฟันน้อยมาก

ตรารับรองจาก กรมอนามัย

ตอนนี้สาเหตุหลักที่ทำให้ฟันสึก เราเชื่อ อยู่ 2 เรื่องใหญ่ๆ

คือ รูปแบบการกัดฟันของคนไข้ กับ กรดจากอาหาร เป็นหลัก

(ส่วน ความแข็งของขนแปรง และ วิธีแปรงฟันที่ผิดวิธี เช่น การขยับแปรงแบบลากยาว เป็นปัจจัยร่วมที่ทำให้ การสึกของฟันรุนแรงขึ้น เท่านั้น แต่ไม่ถือเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิด)

ในรูปแสดงตำแหน่งฟัน เวลาเราเคี้ยว

ต่อเนื่องจาก อาหารที่มีกรดผสมอยู่ เราคงไม่แยกว่า อาหารชนิดไหน มีความเป็นกรดสูง หรือ ต่ำ นะครับ เพราะ อาหารไทยที่ไม่มีส่วนประกอบของน้ำส้มสายชู หรือ น้ำมะนาว คงยากมาก แต่ถ้าคิดซะว่า อาหารที่กินมีความเป็นกรดอยู่ไม่มากก็น้อย การแปรงฟัน “ทันที” หลังกินอาหาร จึงไม่ถือว่าดีนัก

เพราะจากรูปนี้ครับ

ถ้ามีกรดจากน้ำส้มสายชู ยังคงทำงานอยู่ในปาก เราควรให้พ้นช่วงเวลานี้ไปก่อน เป็นชั่วโมงเลยก็ได้ครับ แล้วจึงค่อยแปรงฟันได้ตามปกติ

โดยส่วนตัว ผมจะไม่มีแปรงฟันหลังมื้ออาหารครับ แต่จะบ้วนปากด้วยน้ำเปล่า หลายๆ ครั้ง แล้วตามด้วยการใช้เพียง ไหมขัดฟันทำความสะอาดบริเวณซอกฟัน เพื่อขจัดเศษอาหารที่ติดออก แล้วบ้วนน้ำเปล่าตามอีกรอบ 2 รอบ เท่านั้น

ไหมขัดฟัน เลือกแบบที่ถนัดมือนะครับ บางท่านอาจจะถนัดพกแบบเป็นตลับเล็กๆ แล้วดึงมาใช้เป็นเส้น อย่างผมถนัดแบบมีก้านจับครับ (เคยให้คนไข้ลองใช้ บางท่านบอก ไม่ค่อยชอบ ถนัดแบบดึงมาใช้พันนิ้ว แบบเป็นเส้นมากกว่า)

รูปเทียบขนาดด้ามจับ กับ ดินสอดำธรรมดา

ส่วนของชนิดของยาสีฟัน และ น้ำยาบ้วนปาก ผมแนะนำให้เลือกใช้ชนิดที่ชอบในรสชาติครับ เพราะส่วนผสมทำมาแข่งกัน คุณภาพการใช้งานไม่ค่อยต่างกันตามชนิดที่มีขาย แต่ความสำคัญของการชอบใช้ เป็นเรื่องสำคัญกว่า

เพราะถ้ารู้สึกชอบในรสชาติของยี่ห้อใด ก็จะดึงดูดทำให้รู้สึกมีความสุขเวลาแปรงฟันมากขึ้นครับ ทำให้รู้สึกอยากมีเวลาแปรงได้นาน และดึงดูดให้อยากทำอย่างสม่ำเสมอครับ

ในส่วนของ ยาสีฟันชนิดพิเศษ เช่น ชนิดลดอาการเสียวฟัน สามารถซื้อมาใช้ได้อย่างปลอดภัยครับ แต่ต้องคิดว่า เป็นการลดอาการแบบไม่ถาวร และควรหาสาเหตุว่า ความผิดปกติอะไรที่ทำให้เกิดอาการเสียวฟัน หลังไปตรวจ และหมอวินิจฉัยได้แล้ว จะแก้ปัญหาได้ตรงจุดที่สุดครับ ( ok หมออาจแนะนำให้ใช้ยาสีฟันเพื่อลดอาการต่อได้ อย่างสบายใจ โดยไม่ต้องมีการรักษาอย่างอื่นเพิ่มอีก)

อีกตัวคือ ยาสีฟันชนิดทำให้ฟันขาว สามารถซื้อมาใช้ได้ อย่างปลอดภัยครับ

โดยรวมเมื่อต้องเปลี่ยนยาสีฟัน หรือ ลองซื้อยาสีฟันยี่ห้อใหม่มาใช้ ให้คิดเหมือนเราต้องใช้ยาตัวใหม่ๆ ครับ (จริงๆ ยาสีฟัน ไม่จัดอยู่ในยา แต่อยู่ในกลุ่มเครื่องสำอางค์ครับ) ถ้าลองใช้แล้ว มีอาการผิดปกติ เช่น ใช้แล้วอยู่ดีๆ หลังใช้ ปากเป็นแผล หรือ แปรงแล้วรู้สึกเสียวฟันหลังใช้ ให้ “หยุด” การใช้งานไว้ก่อน แล้วลอง “เปลี่ยน” ไปใช้ตัวเก่าที่เคยใช้แล้วไม่มีปัญหาครับ เป็นวิธีที่ง่ายสุดในการหยุดอาการที่อาจลุกลาม หรือ เป็นมากขึ้น

ต่อมา ในกลุ่มผู้สูงอายุที่ติดเตียง หรือ ต้องมีผู้ช่วยดูแล

หลักการ คือ ” ต้องมีความยืดหยุ่น ” ครับ

ยืดหยุ่นได้ทุกอย่าง เช่น ไม่จำเป็นต้องแปรงฟันให้วันละ 2 ครั้งครับ ถ้าสะดวก 1 ครั้ง และทำได้ดีพอ ก็ทำได้

หรือ จะไม่ใช้แปรง แต่ใช้ผ้าก๊อซ หรือ ฟองน้ำชิ้นเล็กๆ ชุบยาสีฟัน เช็ดและถู แบบนี้ก็ได้

อาจต้องยืดหยุ่นเวลาแปรง ไม่จำเป็นต้องเป็น เช้า หรือ ก่อนนอน ก็ได้

เช่น ถ้าผู้ดูแลสะดวกช่วงบ่าย หลังมื้อกลางวัน ก็แปรงให่้ตอนบ่ายได้ครับ

เพียงแต่ ขั้นตอนการแปรงฟันใน ผู้สูงอายุ ที่ติดเตียง ต้องมีอุปกรณ์พิเศษเพิ่มเข้ามา เช่น หลอดฉีดยาขนาดใหญ่ที่ใช้ดูดน้ำสะอาด เข้าไปฉีดล้างให้ในปาก, ตัวดูดน้ำลาย ในคนที่มีปัญหากลืนลำบาก เพื่อป้องกันการสำลัก, ถาดรองข้างเตียง เพื่อซับน้ำลายและเศษอาหาร, แปรงสีฟันไฟฟ้า ข้อดีคือ มีหัวกลมขนาดเล็ก สอดเข้าในช่องปากได้ง่าย และผ่อนแรง ผู้ดูแลไม่ต้องขยับมือแปรงฟันให้ เป็นต้น

ในส่วนของการดูแลฟันปลอม

ฟันปลอมแบบติดแน่น เพราะส่วนประกอบของฟันปลอมติดแน่น จะทำงานวัสดุ 2 ชนิด คือ โลหะผสม กลุ่มที่ไม่เกิดสนิม หรือ ไม่เกิดการกัดกร่อน กับ วัสดุอีกชนิด คือ กระเบื้อง

การยึดของฟันปลอมชนิดติดแน่น จะประสานด้วยกาว ยึดติดไปกับฟันจริง เพราะฉะนั้น การแปรงฟัน เพื่อทำความสะอาดฟันธรรมชาติ จึงเหมือนการทำความสะอาดฟันปลอมติดแน่นไปด้วยในคราวเดียวกัน

สามารถใช้ยาสีฟัน, น้ำยาบ้วนปาก และแปรงสีฟัน, ไหมขัดฟัน ทุกชนิด ได้ตามปกติ

แต่ในส่วนของฟันปลอมชนิดถอดได้ ส่วนประกอบจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็น อะคริลิค กับ ส่วนที่เป็น โลหะผสม

ตัวอย่าง ฟันปลอมชนิดที่มี อะคริลิค อย่างเดียว เป็นฟันปลอมชิ้นล่าง

ฟันปลอมชิ้นเดียวกัน เมื่อดูด้านล่าง

แสดงฟันปลอมชนิด ฐานอะคริลิค อีกชิ้น เป็นชิ้นฟันบน จะสังเกตว่า ด้านล่างฐานฟันปลอมจะมีลักษณะขรุขระ ผิวไม่เรียบ ซึ่งจำลอง ลอกเลียนรายละเอียดตามรูปร่างเหงือก และ เพดาน ของผู้สวมใส่แต่ละคน

อีกชิ้น เป็นฟันปลอมชนิดที่ไม่มีโลหะ แต่เป็นฐานฟันปลอมแบบยืดหยุ่น คือ แข็งนะครับ ไม่นิ่ม เพียงแต่มันสามารถบิดงอได้ นิดหน่อย (ถ้าเป็นชนิด อะคริลิค แบบที่แสดงในตอนแรก จะบิดงอไม่ได้เลยครับ)

รูปนี้ สังเกตว่า ออกแรงบีบนิดหน่อย มันจะงอได้

การงอได้ของมัน มีไว้เพื่อให้สามารถโอบรัดที่ฟันจริง เป็นตัวที่ทำให้ฟันปลอมแน่น โดยไม่ต้องใช้ตะขอ ที่เป็นโลหะครับ

ฟันปลอมชนิดถอดได้ ที่ทำกันส่วนใหญ่ในประเทศไทย จะทำด้วย อะคริลิค ครับ

แบบนี้คือ แบบฐานอะคริลิค ที่มีตะขอโลหะอยู่ด้วย

นี่ก็เป็น แบบ อะคริลิค กับ โลหะ เช่นกัน

โลหะที่ใช้เป็น โลหะผสมชนิด โคบอลต์+โครเมียม ไม่เกิดการกัดกร่อนในช่องปาก ไม่เกิดสนิม (แต่ไม่ใช้ Stainless steel นะครับ เราไม่ใช้ Stainless steel กับฟันปลอมครับ)

ในความความรู้สึกของ หมอที่ทำฟันปลอม การดูแลรักษาฟันปลอม นอกจากจะทำให้ฟันปลอมใช้ได้นานแล้ว ยังช่วยให้ฟันธรรมชาติ ที่เหลืออยู่ของผู้ใส่ มีอายุการใช้งานที่ยาวนานตามไปด้วย

เพราะฟันปลอม แม้ถือเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ไม่ได้ใช้งานเพื่อใส่ภายในร่างกาย เช่น โลหะผสมไทเทเนียม ที่ยึดดามกระดูก หรือ ลิ้นหัวใจที่ฝังอยู่ภายใน แต่ลักษณะการใส่ในช่องปาก ที่แนบสนิท และติดชิด กับอวัยวะโดยรอบ ทั้ง ฟัน, เหงือก, ลิ้น, กระพุ้งแก้ม, เพดานปาก ทำให้ถ้าทำความสะอาดฟันปลอมไม่ดี ย่อมมีผลต่ออวัยวะเหล่านี้ด้วย นี่ยังไม่นับ ขณะฟันปลอมทำงานเคี้ยวอาหาร ก่อนอาหารถูกกลืนผ่านลงไป

รูปแสดงการวางในตำแหน่งของฟันปลอมบน

ขณะวางอยู่ในตำแหน่งของฟันปลอมล่าง

จึงจะเห็นว่า การทำความสะอาดและดูแลฟันปลอม สำหรับผู้สูงอายุจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะถ้าทำความสะอาดได้ไม่ดี อย่างน้อยที่สุด ผลเสียจะตกกับอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับมันมากที่สุด คือ เกิดฟันผุ และ โรคเหงือกอักเสบ นั่นเอง

หลักในการดูแลฟันปลอม แบบพื้นฐาน

  1. ทำความสะอาดฟันปลอม ทุกครั้ง หลังมื้ออาหาร

รูปแสดง แปรงทำความสะอาดฟันปลอมโดยเฉพาะ ที่มีหัวแปรง 2 แบบ หัวที่กว้างใช้แปรงผิวทั่วไป ส่วนหัวเล็กใช้แปรงบริเวณซอกเล็กๆ

เราดัดแปลงการใช้งาน โดยมีแปรง 2 ขนาดได้ครับ แปรงหัวใหญ่ปกติ กับ แปรงขนาดหัวเล็ก เช่น แปรงเด็ก เวลาใช้งาน ก็ใช้ทำความสะอาดด้วยกัน

ยกตัวอย่าง ส่วนของฟันปลอมที่เป็นซอกเล็กๆ นะครับ แปรงขนาดหัวปกติจะเข้าไปทำความสะอาดตรงนี้ยาก

คือ บริเวณด้านในตะขอโลหะ

2. สารที่ใช้ทำความสะอาดฟันปลอม ร่วมกับแปรงสีฟัน ได้ดีที่สุด คือ น้ำยาล้างจานครับ และ ตัวทำความสะอาดที่แย่ที่สุด คือ ยาสีฟัน

เหตุผล คือ ตัวฐานฟันปลอม และ ซี่ฟันปลอม จะสึกได้เมื่อเจอผงขัดที่อยู่ในยาสีฟันครับ ขณะที่น้ำยาล้างจาน ไม่มีผงขัดผสม จึงเป็นตัวที่ปลอดภัยที่สุด ไม่ทำให้ฟันปลอมเกิดรอยขีดข่วน หรือ ฟันปลอมสึกในระยะยาว

ในความเห็นส่วนตัว ของหมอทำฟันปลอม ไม่ serious ครับ ถ้าท่านใดชอบการใช้ยาสีฟัน ก็ใช้ได้เลย

3. ขณะแปรงฟันปลอม ควรทำที่อ่างน้ำ และ เปิดน้ำในอ่างคาไว้เล็กน้อย อย่าทิ้งน้ำหมด คือ เผื่อพลาด เกิดฟันปลอมหลุดมือครับ น้ำในอ่างจะช่วยพยุงฟันปลอมที่พลัดหล่นได้ ไม่เกิดความเสียหาย

ถ้าท่านใด ไม่สะดวกทำใกล้อ่างน้ำ ให้ใช้ขันน้ำใส่น้ำ รองไว้ใกล้ๆ มือครับ

4. ต่อเนื่องจากข้อ 3 คือ สมมติพลาด เกิดสถานการณ์ที่ฟันปลอมหลุดมือ หล่น แล้วร้าว หรือ หักออกเป็นชิ้นๆ ถ้าเก็บชิ้นส่วนมาครบ ส่วนใหญ่ 90% จะต่อกลับคืนได้ครับ ไม่ต้องทำชิ้นใหม่

เก็บชิ้นส่วนให้ครบ ไม่ต้องพยายามทากาวยึดเชื่อมกลับครับ เพียงเก็บครบ แล้วส่งมาถึงมือหมอเท่านั้น ในหลายกรณี คนใส่ไม่จำเป็นต้องไปด้วย เมื่อซ่อมเสร็จ ให้คนอื่นในบ้านมารับฟันปลอมนำให้กลับไปใช้ได้ กรณีผู้สูงอายุติดเตียงครับ

ยกเว้น ในบางกรณี ถ้าหมอตรวจฟันปลอมดูแล้ว ไม่สามารถซ่อมโดยไม่มีผู้ใส่ได้ ก็จำเป็นต้องให้เจ้าของฟันปลอมมาด้วย เพื่อพิมพ์แบบซ่อมฟันปลอมครับ

รูปแสดงการพิมพ์แบบเพื่อซ่อมฟันปลอม ที่ต้องพาเจ้าของฟันปลอมมาด้วย เพื่อพิมพ์

5. ปกติการเก็บฟันปลอม เมื่อถอดออกตอนนอนกลางคืน ควรแช่ฟันปลอมในน้ำครับ

ใช้น้ำสะอาดธรรมดา ไม่จำเป็นต้องแช่ในน้ำยาฆ่าเชื้อทุกคืน

เหตุผล คือ เป็นการรักษาฟันปลอมให้อยู่ในสภาพที่ชื้นเหมือนเวลาใส่ในปากตลอดเวลาครับ ฟันปลอมสามารถเก็บไว้ในที่แห้งได้ แต่ถ้าแห้งเป็นระยะเวลานาน ส่วนของฟันปลอมที่เป็นฐานอะคริลิค อาจเกิดการเปลี่ยนรูปร่างได้ เมื่อเทียบกับตอนที่มันอยู่กับน้ำลาย

6. เทคนิคการทาครีมติดฟันปลอม

ขั้นตอนแรก บีบจากหลอดออกมาไว้ที่ใต้ฐานฟันปลอม เป็นจุดๆ ครับ 2-3 จุด

จากนั้นใช้นิ้วเกลี่ยให้ทั่ว เป็นชั้นบางๆ เหมือนเราทาครีมที่ใบหน้า

เป็นชั้นบางๆ แบบนี้ (ไม่เหลือให้เห็นเป็นก้อน หรือ ชั้นหนา)

เหตุผล เพราะ เมื่อครีมติดฟันปลอม ถูกน้ำลายจะเกิดการดูดน้ำ แล้วขยายตัว หรือ พองตัวแบบช้าๆ ทำให้เกิด “ความหนืด” เพิ่มขึ้นครับ การทาเป็นชั้นบางๆ ทำให้ฟันปลอมสามารถแนบสนิท ใส่ลงตำแหน่งได้ ถ้าทาเป็นก้อน หรือ ชั้นหนา โดยไม่เกลี่ยให้เสมอกัน ครีมส่วนเกินจะไหลออกจากฐานฟันปลอม เกิดการละลายได้เร็ว

ละลายได้เร็วจาก ครีมเมื่อดูดน้ำจนหนืดสูงสุดแล้ว ถ้ามีน้ำให้ดูดเข้าไปอีก ความหนืดของมันจะลดลงอย่างรวดเร็ว แล้วเกิดการละลายครับ ทำให้คนที่ใช้รู้สึก ต้องทาครีมยึดบ่อยกว่าที่ควรจะเป็น

ต่อไป เป็นช่วงคำถามครับ

ref:

  1. https://thaipublica.org/2024/02/thailand-becomes-aged-society/#:~:text=สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์,ละ%2014%20ของประชากรทั้งหมด
  2. https://3doctor.hss.moph.go.th/main/rp_ampur?rgion=5&prov=NzM=&provn=4LiZ4LiE4Lij4Lib4LiQ4Lih
  3. https://ppdental.anamai.moph.go.th/elderly/2553/EldGr/HPPEld3.pdf
  4. https://www.quintessence-publishing.com/gbr/en/product/noncarious-cervical-lesions-and-cervical-dentin-hypersensitivity
  5. https://www.quintessence-publishing.com/gbr/en/product/brudviks-advanced-removable-partial-dentures
  6. https://ppdental.anamai.moph.go.th/elderly/academic/full91.pdf

โดย เรืออากาศเอก ทันตแพทย์ พัลลภ ตรีนัย ท.บ.

-ทันตแพทยศาสตร์บัณทิต (เกียรตินิยม อันดับ 1) คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (พ.ศ. 2532-2537)

-หลักสูตรวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต ภาควิชาทันตกรรมประดิษฐ์ คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (พ.ศ. 2541-2543)

-แผนกทันตกรรม โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช กรมแพทย์ทหารอากาศ กองทัพอากาศ (พ.ศ. 2544)

-คลินิกอารักษ์ทันตแพทย์ (พ.ศ.2544 – ปัจจุบัน)

สถานที่ติดต่อ : 100-102 คลินิกอารักษทันตแพทย์ ถ.พญาพาน ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม 73000 (034-259 117)

เมื่อหันกลับไปมองโลกของ Pedodontics ด้วย MIH

MIH ย่อมาจาก Molar Incisor Hypomineralisation 

รูปแสดง MIH เป็น lesion ที่มีลักษณะ opaque และขอบเขต irregular บริเวณ #11,21

ปกติผมไม่ทำ pt เด็กเลย เรียกว่า ทิ้ง Pedo มานานมาก จนจำไม่ได้แล้วว่า ครั้งสุดท้ายที่ทำ pt เด็ก คือ เมื่อไร? นานจนจำความไม่ได้

จนมาวันนี้ อาจารย์เพื่อน ที่เป็นหมอ Pedo กรุณาส่ง link นี้มาให้ เพื่อช่วยทำ Questionnaire

ก็เริ่มทำโดยยังไม่รู้สึกอะไร แต่หลังจากผ่านหน้าแรก เข้าหน้าที่ 2 เท่านั้นแหละ ทำเอาผม shock ไปเลย เพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่ถาม

หน้าที่ 2 เริ่มต้นด้วยข้อนี้

ที่ shock เพราะรู้สึกว่า นี่ความรู้ Pedo ของผม มันแย่ซะจน ไม่สามารถตอบแบบสอบถามทั่วไปของทันตแพทย์ได้แล้วเหรอนี่?

ในใจยิ่งทบทวนไปก็อายมาก ที่จบ D.D.S. แต่นอกจากจะ “ทิ้ง” pt เด็ก แล้วยังไม่เหลือความรู้ ไม่ได้ update ความรู้ Pedo เลย จนถึงขนาดไม่สามารถตอบแบบสอบถามพื้นๆ แบบนี้ได้แล้ว

บทความนี้จึงเกิดจาก ความรู้สึกผิดและอายเป็นพื้นฐาน และ ใช้เวลาอ่าน Paper เรื่อง MIH เพียง 2 ชิ้นเท่านั้น (หมายความว่า รู้เรื่อง MIH ในขอบเขตจำกัดของ Paper ที่อ้างอิงเท่านั้นครับ) เพื่อให้มีความรู้พอที่จะเข้าใจ MIH และทำแบบสอบถามชุดนี้ได้

โดยสรุป

MIH ( Molar incisor hypomineralisation ) “ไม่ใช่” โรค caries ครับ แต่เป็น ความผิดปกติของ Ameloblast ในการสร้างชั้น Enamel ที่เกิดขึ้นในฟันบางซี่เท่านั้น (คือ 1st molar กับ incisor)

โดยแรกเริ่ม เทอม MIH เริ่มใช้ในปี พ.ศ. 2544 โดย Dr.KL Weerheijm

ชื่อ Dr. Weerheijm ออกเสียงตามนี้

MIH ในตอนแรกสุด define ว่า เป็นความผิดปกติของการเกิด Hypomineralisation ที่มาจาก systemic origin เกิดกับ ซี่ 6 (ตั้งแต่ 1-4 ซี่) และกระทบไปถึง incisor (ที่เกิดการพัฒนาในช่วงเดียวกัน) จึงเป็นที่มาของ Molar และ Incisor ที่เกิด Hypomineralisation

MIH ไม่ใช่โรคฟันผุ ไม่ใช่โรคทาง Genetics แต่เป็นโรคที่เกิดในระหว่างการ develop ของ enamel

ในช่วงที่ผมเรียนในคณะ Chrological age และ Dentition age จะอิงกับ Ubelaker ดังภาพ ทั้งภาค Oral med และ Ortho จะใช้ Ubelaker ในการสอน

แต่ปัจจุบัน เรารู้แล้วว่า Ubelaker dental chart เพี้ยนมาก และจะใช้ London atlas ในการอ้างอิงเป็นหลัก

ชื่อว่า London แต่ใช้อ้างอิง Dentition age ในคนไทยได้ดีมากครับ ( error ระดับ +/- ความแตกต่างของอายุปฎิทิน กับ อายุการขึ้นของฟัน น้อยกว่า 1 ปี)

รูปแสดง London atlas จะเห็นว่า 1st Molar และ Incisor มีการ calcify Crown ที่คาบเกี่ยวช่วงอายุกัน

ขยาย London atlas ใน pt อายุ 5 ปี

ระยะการ Calcify ของ Incisor และ ซี่ 6 ที่มี Overlap

MIH ไม่ใช่ฟันผุ แล้วเราจะ diff Dx จาก caries หรือ ความผิดปกติของโรคที่เกิดกับ enamel ตัวอื่นได้ยังไง ?

  1. diff Dx จากฟันผุ จะเห็นว่า ถึงแม้ MIH ในรูป คล้าย White spot lesion caries แต่ลักษณะที่ ไม่มี plaque คลุมบริเวณนี้อยู่ จึงไม่ใช่ caries

ลักษณะขาวขุ่นของ Opaque enamel ที่เห็นใน 1st molar คือ MIH

2. แยกจาก Fluorosis ได้จาก Fluorosis จะเกิดในฟันทั้งปากในรูปแบบ symmetry และ bilateral pattern ขณะที่ MIH จะเกิดแบบเฉพาะบางซี่ และ ไม่ sym

3. แยก MIH จาก Enamel Hypoplasia ได้จาก ใน hypoplasia ชั้นความหนาของ enamel จะบาง และขอบ lesion regular, smooth

Enamel Hypoplasia เกิดจากการรบกวน Ameloblast function ในระยะ secretory phase นำมาสู่ ความผิดปกติในการสร้าง enamel matrix ทำให้เมื่อ eruption เราจะพบชั้น enamel ที่บางลง และความผิดปกติเริ่มในชั้น superficial

แต่ MIH stage ของ enamel matrix formation จะปกติ ทำให้ตอน eruption lesion จะมีขอบ irregular จากฟัน molar เริ่มรับแรง และ break down ทำให้บางครั้ง เกิดความสับสนกับ Enamel Hypoplasia

ลักษณะ Classic ของ MIH คือ effect ที่ซี่ 6 และ Upper incisor ด้วย ( case ที่พบ Lower incisor ก็มี แต่น้อยกว่ามาก)

รูปแสดง MIH ที่เกิดใน Lower incisor

4. แยกจาก Amelogenesis imperfecta อันนี้ง่ายมาก เพราะเป็น Genetic และ effect ฟันทุกซี่ diff จากการตรวจ และ Familial Hx

Ok เรารู้ว่า MIH เกิดจากความผิดปกติในการสร้าง enamel เฉพาะที่ และ กระทบฟันบางซี่ เท่านั้น แล้ว ปัญหาของ MIH คืออะไร ?

เรารู้ว่า lesion ที่ขาวทึบ (หรือ เหลือง-น้ำตาล ถ้า severe ขึ้น) ของ MIH เกิดจากความผิดปกติการพัฒนาการในช่วงสร้าง enamel ที่เกิดจาก systemic factor ที่เข้ามารบกวนการ calcify ของ Ameloblast cell แต่สาเหตุคือ systemic factor ใด? ยังไม่สามารถบอกแบบเจาะจงได้

Opaque area ที่เกิดในชั้น enamel เกิดจากการหักเหของแสงเมื่อตกกระทบ แล้วทำให้ชั้นนี้ขุ่น —> แสดงว่า ความใส ( translucency ) ในชั้นนี้ ถูกทำลาย หรือ ทำให้เกิดรูพรุน

การสร้าง enamel ประกอบด้วย Secretory phase เป็น การเกิด mineral deposition ในชั้นความหนาของ enamel ทั้งหมด แล้วตามด้วย Maturation phase

ในช่วงท้ายๆ ของ Maturation phase จะมีการดึง organic material และ ดึงน้ำ ออกจากชั้น enamel เพื่อแทนที่ด้วย mineral ที่ influx เพิ่มเข้าไป การเกิดการรบกวนในขั้นตอนนี้ ทำให้ enamel เกิด opaque ที่เห็นได้ในทางคลินิก

ในทาง Histo คือ MIH เกิดจากการมีสิ่งเข้าไปรบกวน Ameloblast ใน Maturation phase นั่นเอง (ต่างจาก Amelogenesis imperfecta เกิดจากการรบกวนใน Secretory phase)

จากรูพรุนของชั้น enamel —> นำมาสู่การ break down และ fx ของ area นี้ โดยเฉพาะบริเวณของ tooth surface ที่เป็น stress bearing area –> เกิด caries , เกิด Hypersensitivity (ถ้าเกิดบริเวณ labial ของฟันหน้าบน ที่เห็นชัด นั่นคือ ปัญหาทาง esthetic ยิ่งเด็กที่อยู่ในช่วงเข้าสู่วัยรุ่นตอนต้น —> นำมาสู่ปัญหาการ bully จากเพื่อนในโรงเรียน จนมี effect ทางด้านจิตใจ (ทำเป็นเล่นไปนะ สมัยนี้))

รูปนี้ แสดง MIH ที่เกิดใน #16, 26 อย่าสับสนว่า มันเกิดแบบ symmetry เพราะจะเห็นว่า #16 เกิดการผุเรียบร้อยแล้ว แต่ #26 ยังไม่ผุ แต่เป็น yellow opaque อยู่ (คือตอน Eruption #16 ก็เหมือน 26 ครับ แต่หลังจาก pt เริ่มใช้งานเจอ occlusal load บริเวณ enamel ที่ hypomineralise มีรูพรุนก็ fx แล้วเกิด caries)

ใน pt คนเดียวกัน ฟันล่างพบ #36 MIH แต่ 46 ปกติ —> นั่นคือ Asymmetry

แต่จากการที่ MIH เกิดที่ #26 ด้วย และ #16 ด้วย ทั้ง 2 ข้าง ซ้ายและขวา นั่นคือ เกิด MIH แบบ contralateral ซึ่งแสดงถึง severity ของ MIH ที่ degree สูงขึ้น

มีคนพยายามแบ่ง Severity ของ MIH เป็น Classification

จาก Definifion ของ MIH ตอนเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2544 ที่จำกัดในฟัน molar และ incisor เฉพาะในฟันแท้ จนถึงปัจจุบัน MIH ยังไม่เปลี่ยนชื่อ แต่ครอบคลุมถึง lesion ลักษณะเฉพาะนี้ที่เกิดขึ้นใน ฟันน้ำนม ( ซี่ E ) และ ฟันแท้ซี่อื่น เช่น Canine (บริเวณ cusp tip ) ด้วย

เทอมที่ใช้เฉพาะของซี่ E คือ HSPMs (Hypomineralised Second Primary Molars)

ในเด็กที่ตรวจแล้วเจอ HSPMs สามารถใช้ทำนาย และเฝ้าระวังการเกิด MIH ในเวลาต่อมาได้ แต่การตรวจไม่เจอ HSPMs ไม่สามารถ r/o ได้ว่า จะไม่เกิด MIH อีกในเด็กคนนั้น ในอนาคต

ความสำคัญของ MIH คือ เราจัดการมันได้ ถ้าเรารู้จัก และ monitor

จากรูป #36 บริเวณ Disto-buccal cusp

รูปแสดง ฟันซี่เดิมในอีก 3 เดือนต่อมา

แล้วเราจะจัดการยังไงกับ MIH ?

ที่ผมนึกได้ คือ ใช้ Oper เข้าไปจัดการเป็นหลัก และถ้าเก็บไว้ไม่ได้ ก็ Pulp Rx และ Extraction ในกรณีที่หนักสุด

ถ้าเริ่มจากมาตรการเบาสุด เจอ MIH ในระยะเริ่มแรกจริงๆ และ enamel ยังไม่ break down คือ ใช้การ Prevention ด้วยการ Remineralise กลับไป แต่การ apply Fluoride อย่างเดียว ไม่พอที่จะจัดการกับ MIH เพราะ F product จะ Remineralise เฉพาะ Surface เท่านั้น แต่ MIH เกิด Hypomineralise ที่ deep กว่านั้นมาก

อย่างน้อยๆ ต้องใช้ CPP-APP product (Casein Phosphopeptide Amorphous Calcium Phosphate) ครับ เช่น Tooth Mousse ของ GC หรือ MI Paste Plus ( 10% CPP-APP + 0.2% NaF)

Contra ของ CPP-APP product คือ เด็กที่แพ้ milk protein

อีกตัวที่ใช้ได้ คือ Enamelon Treatment Gel ของ Premier Dental มี ACP + F 970 ppm จะ Remineralise ได้เทียบเท่า F product ที่มี 5,000 ppm

ยาสีฟันที่มีส่วนประกอบของ Novamin (DGSK) เป็น Bioglass particle size 18 micron เพราะเป็น toothpaste จึงใช้ได้บ่อยกว่า Tooth Mousse ในระยะยาว พบว่า Remineralise ได้ดีกว่า Tooth Mousse

ถ้า lesion เป็นมากขึ้นมาอีก ก็ Oper มาตรการหนักขึ้น เป็นการทำ Sealant แต่การ Sealant ในฟัน MIH จะต่างจากในฟันปกติ เพราะระดับการ Hypomineralise รุนแรงกว่ามาก

ถ้าจะใช้ Sealant ในฟัน MIH มีคำแนะนำให้ใช้ DBA ร่วมด้วย โดย bonding ก่อน Sealant หรือ Pretreat enamel ก่อน Sealant ด้วยการทา Deproteinising agent คือ 5% NaOCl หรือ Papain-based papacarie gel ทา 60 s ก่อน etch เพื่อเพิ่ม bond strength

แต่ถ้าความเสียหายมากกว่า Sealant ก็ใช้ Oper เป็น GI หรือ Composite

มีข้อสังเกตอีกอย่างคือ ในฟัน molar ที่เป็น MIH จะทำให้ชาด้วย LA ยากกว่าฟันปกติ มีคำอธิบายว่า เพราะ enamel ที่ MIH effect เป็นเกราะป้องกันที่แย่มาก ทำให้ pulp protect ได้ไม่ดี จึงพัฒนาเป็นการเกิด Hypersensitivity ในฟันซี่นั้น การใช้ LA จึงต้องใช้เทคนิกการฉีดหลายวิธีร่วมกันมากขึ้น (เหมือนใน Adult)

มีคำแนะนำให้ใช้ สารลด Hypersense ก่อน visit ที่จะมา Oper โดยเลือกใช้ได้หลายแบบ ตั้งแต่ Fluoride vanish ก่อน หรือ ใช้ GI เป็น interim restoration คือ ทำเป็น 2 step restoration technique

การจัดการด้วย Oper กับฟัน molar ที่เป็น MIH

เริ่มเบาๆ ได้ตั้งแต่ ทำ Resin infiltration ด้วย Icon (DMG)

ซึ่งประกอบด้วย Icon etch ด้วย 15% HCl –> Icon dry ด้วย 99% Ethanol –> Icon infiltrant ด้วย Methacrylate-based resin

จะเห็นว่า การ Etching ใน Resin infiltration นั้นรุนแรงกว่าที่เราใช้กันปกติมาก กรดจะ etch ได้ deep กว่า และ การ Infiltrate ต้องแน่ใจว่า resin สามารถเข้าไปในชั้นที่ลึกนั้นได้เพียงพอ เวลาในการทำงานจึงมากกว่าที่เราทำกันใน filling ทั่วไป

ใน lesion MIH ที่ความเสียหายมากขึ้น ตอนนี้ Oper จะเข้าสู่การ filling ตามปกติ และจากขอบ lesion ที่ irregular การออกแบบ cavity prep ทำได้ยากกว่า caries ปกติ วัสดุที่เหมาะสมจึงจำกัดในกลุ่ม GI, RMGI, Composite เท่านั้น

ถ้า lesion damage มากขึ้นไปอีก —> SSC

ระดับต่อมา คือ การเลือก Proper Pulp Rx

จนถึงมาตรการสุดท้าย ถ้า Restore ไม่ได้ ก็คือ Extraction

การ Extract ฟันซี่ 6 ก็ใช้การพิจารณาคล้าย Serial extraction ครับ คือ ต้อง film เพื่อดู ซี่ 7 จากความรู้เดิมว่า ซี่ 7 จะเกิด Intra-osseous migration มาแทนที่ซี่ 6 ได้ดีที่สุด ระยะที่เหมาะสม คือ การถอนซี่ 6 ในขณะที่ film แล้ว ซี่ 7 ยังกำลังทำ Root formation และมี Follicle ครอบคลุมอยู่อย่าง complete

ความสำเร็จในการแทนที่ ซี่ 6 ด้วย ซี่ 7 จะเกิดได้ดีมากๆ ใน max > mand (ตัวเลขคือ 94% vs 66%)

ถ้าทำนาย หรือ monitor ได้ว่า การเคลื่อนมาแทนที่ไม่ดี —> ใช้ Ortho เข้ามาช่วย

การจัดการ Incisor ที่ MIH

รูปแสดง การใช้ Resin infiltration ด้วย Icon infiltration

ข้อบ่งชี้ในการใช้ จริงๆ คือ เพื่อจัดการกับ White spot lesion caries (ไม่ใช่ MIH)

ความรู้พื้นฐานคือ refractive index ของ enamel = 1.62 และ ของ resin infiltrant = 1.52 ทำให้เมื่อทำเสร็จแล้วความ Opaque ของ enamel กลับมาใกล้เคียงค่าปกติ

แต่ข้อจำกัดของเทคนิคนี้ คือ ไม่เหมาะกับ MIH ที่เป็น mild degree เพราะ damage เกิดใกล้ Surface มากเกินไป ในขณะที่ resin infiltration จะเข้าไปแก้ refractive index ที่เข้าไปลึกกว่านั้น

การทำ Etching ใน Incisor MIH ต่างจาก White spot lesion ที่ของฟัน MIH ต้องใช้ Etching cycle หลายรอบ และ ใช้เวลามากกว่า

ในบาง case ที่ damage เข้าไปลึกมาก การช่วยให้ resin infiltrate ได้ดีขึ้น โดยการ sandblast ที่ผิว ช่วยได้

ถ้ายังไม่ใช้ Resin infiltration แต่เลือกใช้ เพียง Microabrasion (18% HCl หรือ 37.5% Phosphoric + pumice) ให้พิจารณาว่า จะกำจัดได้เฉพาะบริเวณ Superficial เท่านั้น ซึ่งมักไม่ได้ผลกับ MIH (ซึ่ง deep กว่านั้น)

ยกเว้นว่า Incisor เป็น MIH ระดับน้อยจริงๆ อาจตัดสินใจใช้ Microabrasion + CPP-APP product ร่วมด้วยที่บ้าน แล้ว F/U เป็นระยะครับ

กรณีต้องการแก้สีฟันหน้า ที่เกิด Opaque เพียงอย่างเดียว สามารถใช้ 10% Carbamide peroxide gel ได้ โดยร่วมกับ CPP-APP Tooth Mousse

ส่วนใน case ที่สีฟันหน้าเป็น lesion แบบ yellow-brown stain สามารถ bleach โดยการใช้ 37% Phosphoric acid apply 60 s —> 5% NaOCl เพื่อ bleach 5-10 min —> Re-etch —> ปิดด้วย Clear Sealant หรือ DBA ผลลัพธ์คือ yellow-brown stain จะกลายเป็น white mottled appearance ซึ่ง esthetic ดีกว่า เรียก technic นี้ว่า Etch-bleach-seal technic

ถ้า lesion ลุกลามมากกว่าจะ filling ได้ —> Composite veneer, Porcelain veneer (ข้อแตกต่างในการพิจารณาที่จะทำ อยู่ที่ขีดจำกัดด้านอายุของ pt เส้นแบ่งอย่างคร่าวๆ จะอยู่ที่ 18 ปี จึงจะพิจาณาทำแบบ Permanent ได้)

ref:

  1. https://www.nature.com/articles/sj.bdj.2018.814
  2. https://forms.office.com/Pages/ResponsePage.aspx?id=yCT26sSglUGH0kQ-XXUWzd5bN3l4BsFJhwOoHIwaD9BUN1g5Uk9OM0hNUkhRNEtUSkIzR0tHRVY5Ny4u
  3. https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/14529330/
  4. https://www.researchgate.net/figure/Fig-No27-Grafico-de-erupcion-dental-en-nativos-norteamericanos-Dh-Ubelaker-1994_fig8_323734165
  5. https://www.tandfonline.com/doi/full/10.1080/00450618.2022.2040588
  6. https://www.dentalage.co.uk/wp-content/uploads/2014/09/alqahtani_sj_et_al_2010_atlas_of_tooth_development1.pdf
  7. https://dmg-connect.com/articles/resin-infiltration-in-the-treatment-of-mih-lesions-in-anterior-teeth-in-pediatric-patients/

ลักษณะรอยโรคในช่องปากของ โรคเอ็มพอกซ์ (Mpox, aka “monkeypox” ฝีดาษลิง)

รูปแสดง Monkeypox virus particles ที่ประกอบด้วย Double-stranded DNA ล้อมรอบด้วย protein coat และ lipid envelope

ถ้าเราคุ้นเคยกับ SARS-CoV 2 จาก COVID-19 ซึ่งเป็น virus particle ชนิดทรงกลม มี genetic เป็น Single-stranded RNA เมื่อเทียบกับ Mpox virus จะพบว่า particle ของ Mpox virus จะเป็น brick shaped และขนาด “ใหญ่กว่า” SARS-CoV 2 ประมาณ 4 เท่า

SARS-CoV 2 มี Spike protein เพื่อจับกับ ACE-2 ของ host cell

Mpox virus ก็มี Surface protien ที่ coat อยู่รอบตัวมัน มีบทบาทในการจับเข้าสู่ host cell เช่นกัน

รูปแสดง virus particles MPXV (MonkeyPox Virus) จาก Electron micrograph สีชมพูคือ mature particles, สีฟ้าคือ immature particles , Skin lesion specimen

อาจจะไม่คุ้นกับชื่อโรค Mpox เพราะ ชื่อเดิมของมันคือ ฝีดาษลิง (ฝีดาษวานร) มาตั้งแต่ช่วงปลายของ COVID-19 Pandemic แต่เมื่อช่วงปลายปี ค.ศ. 2022 WHO ได้เปลี่ยนชื่อ จากโรค Monkeypox เป็น Mpox เพราะเป็น Scientific information ที่ต้องการหลีกเลี่ยงการอ้างอิงชื่อทางภูมิศาสตร์ หรือ ชื่อของสิ่งมีชีวิต (คล้ายๆ SARS-CoV-2 virus ที่ใช้ชื่อ Wuhan virus ในช่วงแรก แล้วต่อมาถูกเปลี่ยนเอาชื่อเมือง Wuhan ออก)

ในตอนนี้ ถ้า seach ใน ICD-10 Online จะเจอทั้ง Mpox และ Monkeypox ครับ ยังคงใช้ได้ทั้ง 2 ชื่อ (Monkeypox ยัง search ได้เพื่อให้ match กับ database history ที่เคยใช้ในช่วงที่ผ่านมา)

ดังนั้น เราจึงควรเรียกโรคนี้ว่า Mpox (เอ็มพ็อกซ์) ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป

Mpox แตกต่างจาก COVID-19 ที่มันไม่ใช่โรคอุบัติใหม่ นักวิทยาศาสตร์สามารถแยกเชื้อ Mpox virus ได้เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1959 (พ.ศ.2502) จากการระบาดในลิงที่ขังอยู่ในกรง ของ สถาบันวิจัยแห่งหนึ่ง ในเมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก Mpox จึงเริ่มต้นจากเป็น Zoonosis (โรคติดต่อที่เกิดจากสัตว์เป็นต้นกำเนิด แล้วแพร่เชื้อจาก สัตว์สู่คน) และ มีรายงานการติดเชื้อในคนครั้งแรกที่ ประเทศคองโก เป็น Pt เด็กชาย อายุ 9 เดือน (WHO ตั้งชื่อว่า Human monkeypox )ในปี ค.ศ. 1970 จากนั้นจึงเพิ่มระดับการระบาด เป็นโรคประจำถิ่น (Endemic) และเกิด Outbreak เป็นลำดับต่อมา ในภูมิภาค Africa กลาง และ Africa ตะวันตก

Mpox เกิดจาก poxvirus ที่มีความใกล้เคียงกับ Smallpox virus มาก คือ มันใกล้เคียงกันในระดับ Genus เลยทีเดียว ( อยู่ใน Genus เดียวกัน คือ Orthopoxvirus)

ถ้าพูดว่า Poxvirus คือ ความใกล้เคียงในระดับ “ครอบครัว หรือ วงศ์” (family) ซึ่งเป็นคำที่กว้างกว่า “สกุล” (genus) –> ภาษาไทยมีคำว่า “วงศ์สกุล” แต่ความหมายในอนุกรมวิธาน “วงศ์” จะใหญ่กว่า “สกุล”

เริ่มต้น “ก่อน” จะติดจาก คนสู่คน (คือ ช่วงแรกเกิดน้อยมาก) โดยหลักจะเป็นจาก สัตว์สู่คน จากการกัด, ข่วน, กินเนื้อสัตว์ป่า จัดเป็น direct และ indirect contact จาก สัตว์ฟันแทะขนาดเล็ก ทั้งที่อยู่ในป่า, ตามชุมชน และ พวก primates (ชื่อของโรค ชวนให้สัมพันธ์กับลิง เพราะแยกเชื้อได้ครั้งแรกจากลิง แต่เชื่อว่า พวก Rodents เป็น main reservoir มากกว่า)

(ทบทวนความรู้ ระบาดวิทยา : ระดับของการกระจายของโรค เริ่มจาก Endemic (โรคประจำถิ่น) –> Outbreak (การระบาด) –> Epidemic (โรคระบาด) –> Pandemic ( การระบาดใหญ่/ทั่วโลก)

เทียบให้เห็นภาพ COVID-19 ที่เพิ่งผ่านมา คือ Pandemic แต่ Mpox ในชั่วโมงนี้ ถือเป็น Epidemic สำหรับ Africa และ เมื่อเทียบในระดับ Global ยังถือว่าเป็น Outbreak ครับ เพียงแต่สถานการณ์ในตอนนี้ WHO จัดให้เป็น Global emergency ชื่อเป็นทางการของ ระดับความฉุกเฉินนี้ คือ Public Health Emergency of International Concern (PHEIC , WHO เริ่มประกาศเมื่อกลางปี ค.ศ. 2022)

Mpox มีการแบ่ง type ของโรคเป็น Clade ( เคลด ) ตามระดับความรุนแรง และ การแพร่กระจายที่สัมพันธ์กับ ภูมิศาสตร์ของทวีป Africa คือ

Clade one (I) ที่มีการระบาดใน Africa กลาง คือ พื้นป่าของ ที่ลุ่มคองโก ( Congo Basin) ซึ่งเป็นป่าฝนที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก (รองจาก ผืนป่า Amazon ใน South America)

case fatality rate (CFR) ของ Clade I = 10.6%

Congo Basin อยู่ในกรอบสีแดง

ส่วน Clade two (II) ระบาดใน Africa ตะวันตก เป็นสายพันธุ์ที่มีความรุนแรงน้อยกว่า (case fatality rate (CFR) = 3.6%) และ เป็น Clade ที่เกิด Global Outbreak (รวมทั้งประเทศไทยในปีที่ผ่านมา)

Africa ตะวันตก แสดงด้วยพื้นที่สีเขียวในรูป

( คำว่า Clade เป็นศัพท์ที่ใช้ในการจัดกลุ่มวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ในวิชาอนุกรมวิธาน เช่น เคลดไดโนเสาร์, เคลดของสัตว์ฟันแทะ etc. สิ่งมีชีวิตที่มี เคลด เดียวกัน จะหมายถึง กลุ่มของสิ่งมีชีวิต ที่มีบรรพบุรุษร่วมกัน และ มีชาติพันธุ์เดียวกัน

ยกตัวอย่าง: จากรูปสายพันธุ์วิวัฒนาการ กลุ่มสีฟ้า และ สีแดง คือ เคลดของกลุ่ม เพราะมีบรรพบุรุษ จากชาติพันธุ์เดียวกันทั้งกลุ่ม ขณะที่ กลุ่มสีเขียว ไม่นับเป็น เคลด เพราะมีบรรพบุรุษจากชาติพันธุ์เดิม และ ชาติพันธุ์สีฟ้า ร่วมด้วย )

อาการแสดง รอยโรคในช่องปาก ของ Mpox

Mpox จัดเป็น Self-limiting disease คือ หลังติดเชื้อ ถ้าไม่มีอาการแทรกซ้อนหนักๆ และได้รับการรักษาแบบประคับประคอง ตาม Symp (น้ำเกลือ, C-20, Povidone-I ใช้บ้วนปากและ clean รอยโรคในปากได้, ยาแก้ปวด ถ้าเลี่ยงได้ ไม่ควรใช้ NSAIDs เพราะเพิ่ม hemorrage ใน lesion ร่วมกับยาต้าน virus ใน case ที่อาการรุนแรง ใช้ tecovirimat (เดิมใช้รักษา Smallpox), ถ้ามี secondary infection จาก bacteria และ candida ใช้ ABO, anti-fungal ได้

ผู้ป่วยจะหายได้เองใน dutation ~ 1 เดือน (incubation peroid ไม่เกิน 3 wk)

แต่การแสดงออกของรอยโรคในช่องปาก ไม่มี Pathognomonic feature ( อย่างเช่น Koplik spots บริเวณ Buccal mucosa ของ Measles)

ลักษณะการเกิด เหมือน Vesiculobullous eruption —> Ulceration ซึ่งใน Pt Mpox ไม่ได้เกิด Oral manifestation ทั้งหมดทุกคน (ตัวเลขอยู่ที่ 40%)

หลังจากได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย เป้าหมายของ virus จะอยู่ที่ Lymph node ทำให้อาการ Lymphadenopathy เป็นสิ่งสำคัญที่ diff dx ได้จาก Vesiculobullous อื่น เช่น Chickenpox

รูปแสดง case Pt มี Ulcer ที่ปลายลิ้น, ส่วนใต้ลิ้น เป็น Vesicle –> แสดงถึง Oral lesion ของ Mpox เกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ ในเวลาเดียวกัน คือ เป็น Polymorphic lesions

โอกาสที่ทันตแพทย์จะเจอ Pt Mpox ที่มี Skin lesion แล้ว เกิดขึ้นได้ยากมาก เพราะคงไม่มีใครกล้า แม้แต่จะเดินออกจากบ้านขณะที่มี Papule หรือ Blister ขึ้นเต็มมือและแขน

แต่ ความสำคัญสำหรับทันตแพทย์ คือ ช่วงรอยต่อ ของ Prodomal stage และ ช่วง Skin lesion ครับ เพราะ Oral lesion (ถ้ามี) มันจะแสดงออกในระหว่างรอยต่อนี้

เพราะอาการช่วง Prodomal stage มี symp คือ ไข้, ปวดหัว, myalgia, ปวดเมื่อย, ครั่นเนื้อครั่นตัว เหมือน Influenza และ lymphadenopathy ก็เกิดในช่วงนี้

หลังจากนั้น Oral manifestation (ถ้ามี) จะเกิดขึ้นตามมา

Oral lesion จะเกิดนำก่อน Skin lesion หรือ Skin lesion จะเริ่มบริเวณ Oral และ Peri-oral ก่อนลามจาก ใบหน้า ไปตามลำตัวและแขน ขา

ตัวอย่าง case Pt

A รูป Candidiasis ที่ลิ้น, B Peri-oral skin lesion ลูกศรชี้ แสดงลักษณะ umbilicated pox-like lesions

อีก case

lesion ที่ลิ้น เป็นตุ่มเล้กๆ รู้สึกเจ็บมาก (เป็น CC ที่นำ Pt มาพบแพทย์) แล้วแตกออกเป็น Ucer ที่ปลายลิ้น

โอกาสที่เราจะเจอในช่วง Vesicle ใน Oral จะยากมาก แต่โอกาสที่จะเจอช่วงหลังจาก Vesicle เช่นเป็น Ulcer แล้ว จึงพบได้ง่ายกว่า

case นี้ หลังจากนั้นอีก 3 วัน Pt จึงเกิด Skin lesion ที่คอ และ แขน

ความสำคัญคือ โอกาสเกิด jacpot Pt เริ่มมี Prodomal stage ก่อนวันนัด และ ระหว่างนัด ซึ่ง ช่วงนั้น สามารถแพร่เชื้อได้จาก Direct, Indirect contact, น้ำลาย, จาก Oral lesion

การตรวจในช่องปาก นอกจาก Oral lesion อีกสิ่งที่ควรนึกถึงคือ Pharynx เพราะแสดงศักยภาพของ Mpox ที่ติดต่อได้จาก secretion อาการที่พบได้ คือ sore throat, tonsillar abscesses และ pharyngeal lesions ซึ่งนำไปสู่ความลำบากในการกินอาหาร และ การกลืน จนต้องเข้า admit ในที่สุด

สิ่งที่ยืนยันการติดเชื้อ Mpox virus คือ การ swab และส่ง Western bot หรือ PCR เท่านั้น

บางครั้งการ Hx ว่ามีเดินทางไป Africa หรือไม่? แล้วได้คำตอบว่า ไม่เคยเดินทางไป ตปท. ก็ไม่ค่อยช่วยอะไร เพราะ ปัจจุบันคนไทยที่เกิดตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2523 ( ค.ศ. 1980 หรือ เด็กไทยที่เกิดในช่วง ฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ครบ 200 ปี ใน พ.ศ. 2525 ) ไม่ได้รับการปลูกฝี จาก vaccine Smallpox แล้ว จาก WHO มี campaign กำจัด Smallpox ให้หมดไป ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1967 จนถึงปี ค.ศ. 1977 มี record ของ Smallpox ครั้งสุดท้ายที่ประเทศโซมาเลีย และ WHO ได้ประกาศว่า Smallpox หมดไปจากโรคในปี ค.ศ. 1980 ทำให้มี สมมติฐานว่า เกิดการระบาด Mpox จากคนสู่คนในระดับ Global Outbreak เพราะ ขาดภูมิคุ้มกันจากคนรุ่นที่ไม่ได้รับ vaccine นี้

รูปแสดง หน้าตาของ package vaccine JYNNEOS® ( ชื่ออื่นๆ คือ IMVAMUNE® และ IMVANEX®) เป็น วัคซีน MVA-BN ของ Bavarian Nordic (วัคซีนไข้ทรพิษชนิดไม่เพิ่มจำนวน คือ เชื้อมีชีวิตแบบอ่อนฤทธิ์ : live, attenuated vaccine) ถูกพัฒนาขึ้นโดยความร่วมมือกับรัฐบาลสหรัฐฯ

MVA-BN (Modified Vaccinia Ankara-Bavarian Nordic) จึงเป็นวัคซีนดั้งเดิมที่ใช้กับ Smallpox และนำมาใช้กับ Mpox เพียงชนิดเดียวที่ได้รับการอนุมัติจากทั้ง FDA ของสหรัฐฯ และ European Medicines Agency (EMA)

ปัจจุบันมีบริการฉีดที่ สภากาชาดไทย ไม่ฟรี มีค่าใช้จ่ายในการฉีด เพราะไม่อยู่ในชุดสิทธิประโยชน์

ความกังวลเรื่อง การระบาดของ Mpox ในระดับ Global จาก Outbreak จะยกระดับเป็น Epidemic และ Pandemic เหมือน COVID-19 หรือไม่?

ตอบว่า เกิดขึ้นได้ยากมาก เพราะ

  1. Mpox ถือว่า ไม่ใช่โรคอุบัติใหม่ที่เกิดจากเชื้อ virus ชนิดใหม่ เหมือน SARS-CoV 2 เรารู้จักเชื้อ Human monkeypox virus มาเกือบ 70 ปีแล้ว และมี vaccine ที่รับมือกับมันได้เรียบร้อย ทั้ง vaccine Smallpox ดั้งเดิม และ vaccine Mpox ที่พัฒนาขึ้นใหม่ สถานการณ์จึงไม่ใช่ new COVID
  2. MPVX เป็น DNA virus ปัจจุบันรู้จักกันใน 2 Clades คือ Clade I (Congo Basin clade, Central Africa clade ) และ Clade II (West Africa clade) ขบวนการ replication ของ DNA virus ต่างจาก RNA virus (SARS-CoV 2) ตรงที่ enzymes ที่ใช้ในการ replication (เช่น DNA polymerase) จะมีการ proofreading และ fix error ในการสร้างโปรตีน ที่ดีกว่า, แม่นยำกว่า RNA polymerase —> การเกิด mutation ของ poxvirus จึงเกิดได้น้อยกว่า RNA virus

โอกาสเกิด Pandemic จาก mutation อย่างรวดเร็วแบบ Alpha –> Delta –> Omicron ของ COVID-19 จึงเกิดได้ยากมาก

สุดท้าย การจัดการทางทันตกรรมกับ Pt ที่สงสัยว่าเป็น Mpox

ถ้าสงสัย และแยกรอยโรค เช่น แผลที่ลิ้น diff dx จาก burn lesion หรือ trauma ไม่ได้ ให้เลื่อนการทำงานใน Pt ไปก่อนครับ

มาตรการเดิมที่เราเคยใช้กับ COVID ยังใช้ได้กับ Mpox ทุกประการ

  1. https://asm.org/articles/2022/august/monkeypox-vs-covid-19
  2. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC9485535/
  3. https://www.who.int/news/item/28-11-2022-who-recommends-new-name-for-monkeypox-disease
  4. https://en.wikipedia.org/wiki/SARS-CoV-2
  5. https://icd.who.int/browse10/2019/en#/B04
  6. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC9974501/
  7. https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/36206497/
  8. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC9815964/
  9. https://en.wikipedia.org/wiki/Orthopoxvirus
  10. https://www.rama.mahidol.ac.th/atrama/issue038/vocab-rama
  11. https://mgronline.com/greeninnovation/detail/9590000076575
  12. https://en.wikipedia.org/wiki/Congo_Basin
  13. https://en.wikipedia.org/wiki/West_Africa
  14. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK549793/figure/article-23948.image.f1/?report=objectonly
  15. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC9485535/table/tbl0001/?report=objectonly
  16. https://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S2212440322012834?ref=pdf_download&fr=RR-2&rr=8b6baf7d4a18d03e
  17. https://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S0278239122007157#fig1
  18. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC9746567/
  19. https://www.washingtonblade.com/2024/05/18/mpox-virus-deadlier-strain-warning-cdc/
  20. https://www.pptvhd36.com/health/news/5750
  21. https://www.thaipbs.or.th/news/content/343307
  22. https://www.hfocus.org/content/2024/08/31409
  23. https://www.today.com/health/news/monkeypox-virus-lockdown-global-emergency-rcna167133
  24. https://asm.org/articles/2022/august/monkeypox-vs-covid-19
  25. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC9513399/