Author: drpanlop

การ Lock app ใน iPhone

ปกติเราจะพบว่า iOS มีการปรับแต่งของ Settings ได้ไม่มากเท่า Android แต่การมาถึงของ Shortcuts ใน iOS 12 และได้รับการพัฒนาจนเป็นส่วนหนึ่งของระบบปฏิบัติการอย่างสมบูรณ์ใน iOS 16 ทำให้ iPhone สามารถปรับแต่งได้เพิ่มขึ้นอีก (นอกเหนือจาก Settings)

ใน app ทั่วไป ถ้า dev ไม่ได้พัฒนา privacy ขึ้นเป็นการเฉพาะ เราจะไม่สามารถ lock app ได้เลย แต่ถ้า dev ทำ privacy ขึ้นเฉพาะ จะสามารถตั้ง password หรือ ใช้ Biometric เช่น Face id, Touch id ก่อนเปิดใช้ app ได้ เช่น app Line

การตั้งค่า Privacy เพิ่มขึ้นภายใน Line แสดงใน settings menu ภายใน app Line ดังรูป

ซึ่งนอกเหนือจาก การรอให้ Dev เพิ่ม Privacy ของแต่ละ app (แบบ Line) แล้ว

เราสามารถใช้ Shortcuts ในการตั้งค่า privacy เพิ่มเติมได้ในทุก app ครับ

วิธีการดังนี้

1. เปิด app Shortcuts

เมื่อเปิด app จะเจอ Automation

กดเข้าหน้า Automation ให้เลือก Create Personal Automation

เลือก App ที่เราต้องการจะ Lock ก่อนเปิด app นั้น

ตรงลูกศรด้านล่าง จะติ๊ก / ที่ is Opened จากนั้นให้เลือก Choose

เจอหน้าเลือก App ตัวอย่างนี้ ผมเลือก app Messages ครับ (คือ ทุกครั้งที่เปิดอ่าน Messages จะมีการเรียก Password, Touch id, Face id ก่อน จึงจะเปิด app ได้)

พิมพ์หา app messages

เจอ app Messages แล้ว ให้กดเลือก ติ๊ก /

จะเข้ามาที่หน้านี้ App แสดงชื่อ app ที่เราต้องการ Lock และลูกศรด้านล่าง เลือก is Opened

จากนั้น กด Next ที่มุนขวาบน (ของผู้อ่าน)

จะเข้ามาที่หน้านี้ เพื่อเลือก Actions ว่า เราจะให้ app ทำ Action อะไร

ให้พิมพ์เลือกคำว่า ” lock screen “

พิมพ์คำว่า lock screen จะเกิด Scripting Lock Screen ให้กดเลือก Lock Screen

จะเข้ามาหน้านี้ ให้กด Next

เมื่อเข้ามาที่หน้านี้ ให้ Off ตรง Ask Before Running (คือ เลื่อนสีเขียวให้เป็นสีเทา)

เมื่อเราเลื่อน “ปิด” Ask Before Running จะเจอ pop up ขึ้นมาเพื่อ confirm ให้เลือก Don’t Ask

ถึงขั้นตอนนี้ คือ เสร็จแล้วครับ (ผมเขียนแสดงลูกศรสีเขียว กรณีถ้าเราต้องการ “ลบ” คำสั่งนี้นะครับ ให้ปัดเลื่อนมาทางซ้าย)

แสดงหน้าตาโดยรวมของ Automation การ Lock app Messages

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ทุกครั้งที่จะเปิด app Messages ต้องมีการเรียกหา Password, Touch id, Face id ก่อน

เวลาใช้งานจริง จะเป็นแบบนี้ครับ

ref: https://www.macrumors.com/how-to/automatically-lock-iphone-app-opened/?fbclid=IwAR1dV4lK4uqQDvekBUGiDG5CAJnJKAfmNmR4uCton_5OdvHtJK0RrZRLwkw

ความแตกต่างของ การปิด-เปิดเครื่อง vs การกด 3 ปุ่มเพื่อ reset

มาดูการ “ปิดแล้วเปิดเครื่อง”

1. กดเพื่อ “ปิด” ของ iPhone รุ่นต่างๆ

2. หน้าจอจะปรากฏหน้านี้

ถ้าเราจะปิดเครื่องจากขั้นตอนที่ 1 ได้ เครื่องต้องยังมีการตอบสนองตามปกติ (มิฉะนั้นจะไม่สามารถ touch หน้าจอเพื่อ slide ได้) จะทำเมื่อ user พบความผิดปกติบางอย่าง เช่น app ที่ลงในเครื่องทำงานผิดปกติ หรือ ระบบของ Apple เอง ทำงานผิดปกติ เช่น staus bar ด้านบนหมุนกลับด้าน จากด้านบน มาเป็นด้านข้าง , กล้องขึ้นหน้าจอดำ ฯลฯ นั่นคือ มีการทำงานของ code ของ app หรือ code ของ iOS ผิดพลาด

เมื่อเข้าหน้าจอในข้อ 2 ได้ นั่นคือ iOS ทำการ Terminate code ที่ผิดพลาดเหล่านั้นได้สำเร็จ (คือ การปิดการทำงานของ app ที่ค้างในหน้าจอนั้น รวมทั้ง app ที่ถูก freeze อยู่เป็น background ทุกตัว)

โดยพื้นฐานคำสั่งที่มาจาก app ต่างๆ จะส่งเข้า CPU จะถูกเก็บไว้ใน RAM ของเครื่อง (RAM เป็นส่วนที่ต้องมีไฟเลี้ยงไว้เสมอ) ส่วนคำสั่งของ iOS code ต่างๆ จะเก็บไว้ใน ROM และใช้ RAM เพื่อ run code (ความจุของ ROM ไม่ต้องจำเป็นต้องมีกระแสไฟเลี้ยง)

3. เมื่อเรา Slide เพื่อปิดเครื่อง จะเป็นการ “ตัด” กระแสไฟที่เข้าสู่ mainboad (ในทางทฤษฏี แต่ทางปฏิบัติ แม้เราปิดเครื่องแล้ว ก็ยังมีกระแสไฟจำนวนหนื่ง คอยเลี้ยง chip บางตัวอยู่ เพื่อทำให้ Find my ยัง work ได้ แม้เครื่องถูกปิดไปแล้ว)

code ที่ยังค้างทั้งจาก app และ iOS จะเก็บไว้ใน RAM ส่วนหนึ่งเมื่อกระแสไฟถูกตัด คำสั่งจาก code หรือ app เหล่านี้ จึงหายไป เป็นการทำให้เครื่องอยู่ในสภาวะ fresh ไม่มีข้อผิดพลาดตกค้าง เมื่อเปิดเครื่องอีกครั้ง

สรุป คือ การ “ปิดเครื่อง” คือ การ Reset ด้วยการใช้ Software ครับ เป็นการให้เวลา iOS ปิดทุกคำสั่งที่ค้างอยู่ ปิด app แบบเป็นขั้นตอน แล้วจึงปิดคำสั่งสุดท้ายของระบบปฎิบัติการเอง

แล้วการ Force reset หรือ Force restart คืออะไร?

มาดู การ Force reset แน่นอน เราจะทำเมื่อ หน้าจอเครื่องไม่มีการตอบสนองใดๆ

  1. เมื่อเรากด Force reset การทำงานของเครื่อง คือ การ “ตัด” กระแสไฟจาก battery ที่เข้า mainboard โดยทันที จึงไม่มีการปิด app ที่ยัง run ค้าง หรือ terminate code ของ iOS อย่างเป็นขั้นตอน แต่เหมือนปิด app หรือ code ที่กำลังทำงานอยู่ระหว่างทาง โดย iOS อาจจะไม่สามารถตรวจและบันทึก ความผิดพลาดที่เจออยู่ได้

Force reset ออกแบบมาเพื่อ เป็นการทำ rest ในระดับ Hardware คือ เราไม่ต้องแตะหน้าจอเลย แต่ใช้การกด button ซึ่งเป็นการสัมผัสเฉพาะ Hardware เท่านั้น (Hardware reset –> Hard reset)

เป็นการ “ตัด” กระแสที่เข้า mainboard แล้วจึง “ปล่อย” กระแสไฟ เข้าไปใหม่ (Force reboot) จากนั้น iPhone จะถูกเปิดเครื่องใหม่ ในสภาวะที่ terminate code และ app ที่เคยเปิดใช้ เป็นสภาวะเครื่องที่ทำงานปกติ เหมือนเรา “ปิดและเปิดเครื่อง” ทุกประการ

ความแตกต่างเพียงสิ่งเดียว คือ วิธีที่ตัด Power ที่เข้าสู่เครื่องเท่านั้น

การ “ปิดแล้วเปิดเครื่อง” คือ การตัด Power แบบเป็นระบบ iOS จะมีเวลาในการจัดการ code และ app ที่ค้าง ก่อนตัดไฟ

แต่การกด 3 ปุ่ม เพื่อ Force reset คือ การตัด Power แบบฉับพลัน iOS จะไม่มีการจัดการความผิดพลาดเบื้องหลังทั้งสิ้น

ดังนั้น ตราบใดที่เจอข้อผิดพลาด และหน้าจอยังตอบสนองได้ปกติ จึงควร Reset เครื่อง ด้วยการ “ปิดแล้วเปิดเครื่อง” (Software reset หรือ Soft reset)

แต่ถ้าหน้าจอ ไม่ตอบสนองต่อ touch screen (กดปิดเครื่อง แล้วไม่แสดงหน้า “slide to power off”) เราจึงจะใช้การกดปุ่ม เพื่อ Force reset ครับ

มีข้อสังเกตว่า ในขบวนการ Clear RAM หรือ เมื่อเข้าถึงหน้า “slide to power off” ได้ ถึงเราจะกด Cancel ก่อนเข้าหน้าจอ Lock จะต้องเจอ หน้ากรอก Passwode ก่อนเข้าหน้า Home เสมอ เพราะ iOS มีการ terminate code และ จัดการ app ที่ run อยู่ ทุกครั้งที่เข้าถึงหน้าก่อนจะ “ปิด” เครื่องครับ

Ref:

  1. https://www.wired.co.uk/article/nsa-bug-iphone
  2. https://support.apple.com/guide/iphone/turn-iphone-on-or-off-iph841379c3d/ios
  3. https://www.laptopmag.com/news/how-to-turn-off-an-iphone
  4. https://support.apple.com/en-gb/HT201559

Gaming phone มีประสิทธิภาพในการเล่นเกมส์เหนือกว่า SSGS 23U หรือไม่?

เป็นการเปรียบเทียบ Gaming phone กับ Normal smartphone ที่ใช้ CPU ตัวเดียวกัน เครื่องใดจะมีประสิทธิภาพมากกว่ากัน?

คำว่า Mobile gaming เป็นคำที่กว้างมาก ครอบคลุมตั้งแต่การเล่นเกมส์บนรถโดยสารไปจนถึงการแข่ง e-sports ดังนั้นถ้าคุณอยู่ในกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับ Mobile gaming มาก แน่นอน คุณย่อมมองไปที่กลุ่ม Gaming smartphone เมื่อต้องการใช้ Smartphone คู่ใจซักเครื่องนึง แต่แน่ใจหรือไม่? ว่า Gaming smartphone ที่คุณเลือก มีความโดดเด่นมากกว่า Smartphone Flagship ที่ไม่ได้ประกาศตัวว่า เป็น Gaming phone จริงๆ

ในบทความนี้จะทดสอบระหว่าง Asus ROG Phone 7 Ultimate เทียบกับ SSGS 23 Ultra โดยใช้การวัดประสิทธิภาพในการเล่นเกมส์โดยเฉพาะเพื่อเปรียบเทียบระหว่าง Gaming phone กับ Flagship smartphone

การเปรียบเทียบ Frame rate

ก่อนทดสอบจะขอเทียบรายละเอียด Specs ของทั้ง 2 รุ่น

Galaxy S23U ใช้ Qualcomm Snapdragon 8 Gen 2 processor, with 12GB LPDDR5X RAM

ROG Phone 7U ใช้ Qualcomm Snapdragon 8 Gen 2 with 16GB LPDDR5X RAM

แม้ SSGS 23U จะมีการใช้ extra RAM (vertual RAM) แต่สำหรับการ run เกมส์เพียงเกมส์เดียว (เล่นทีละเกมส์) การใช้ extra RAM ไม่ให้ผลที่แตกต่าง

นอกจากนั้น CPU Snap 8 gen 2 ที่ปรับแต่งเป็นพิเศษ สำหรับ SS ทำให้ในทางทฤษฎีมี Clock speeds ที่สูงกว่าปกติ แต่ก็พบว่า CPU ที่ปรับแต่งให้ประสิทธิภาพได้เท่าๆ กับ CPU ที่ใช้ใน ROG

ในการทดสอบ

1.เราปรับ Performance เครื่องทั้ง 2 รุ่น ให้อยู่ในระดับสูงสุดเท่าที่แต่ละรุ่นจะทำได้ โดยใช้ X-mode ใน ASUS’ Armoury Crate software และ “Performance” preference ใน  Game Launcher ของ SS

2. ใช้ Bypass charging mode ในทั้ง 2 รุ่น เพื่อเลี่ยง Overheat

3. ไม่ใช้ระบบ Cooling พิเศษ เช่น ASUS AeroActive Cooler 7 ใน ROG

ผลทดสอบ Frame rate ที่ได้

อะไรคือ jank หรือ dropped frame ?

‘jank’ เกิดขึ้นเมื่อ gaming frame ไม่ถูก rendered ให้เร็วพอที่จะได้ reqiurement fps ของเกมส์นั้นๆ

ตัวอย่างเช่น สำหรับเกมส์ที่ต้องการ fps เฉลี่ยที่ 60 frames per second แต่เครื่องที่ใช้ให้ fps ที่ตกลงไปถึง 40fps ในหลายช่วงตลอดการเล่น จะทำให้ผู้เล่นเหมือนถูกกันออกจากเกมส์ เรียก distracting lag หรือ jank ทำให้เกิดการเล่นที่ไม่ต่อเนื่อง และเกิดความเสียหายในการเล่นเกมส์นั้น

ในอันดับแรก พบว่า ทั้ง 2 รุ่น ให้ประสบการณ์การเล่นเกมส์ที่ดีมาก ทั้ง graphic และ frame rates ที่สูงมาก แต่อย่างไรก็ตาม ผลการทดสอบชัดเจนว่า แม้จะมี Specs ใกล้เคียงกัน แต่ SSGS23 U มี frame rates โดยเฉลี่ย “ตก” มากกว่า ROG Phone 7U

ถ้าดูในรายละเอียด SSGS23 U เริ่มต้นด้วย virtually locked 60fps ใน PUBG Mobile round แต่หลังจากผ่านไป 5 นาที frame rates เริ่มแกว่ง ซึ่งแสดงถึงปัญหาการระบายความร้อนในตัวเครื่อง และ CPU เริ่ม throttling

แม้ว่า frame rates เฉลี่ย จะอยู่ในระดับ 55-60fps ตลอดทั้ง match แต่ถ้าดู frame rates ที่ตกไปถึงระดับต่ำสุด จะพบว่า ตกลงในทุก 50 วินาที และลงไปถึง 40fps แต่สำหรับ ASUS ROG Phone 7 Ultimate ให้ประสบการณ์ที่ smooth กว่า เมื่อเล่นเกมส์ในเวลานานๆ

CPU ที่ Overclock speed ใน SSGS 23U ไม่ได้หมายถึงการให้ประสิทธิภาพที่สูงขึ้น

การทดสอบต่อไป คือ การ emulating the fast-paced F-Zero GX บน Dolphin Emulator ในขณะที่ เครื่องที่ทดสอบต่างก็ไม่สามารถ ทำ frame rates ได้ที่ rock-solid 60fps ตลอดการทดสอบ แต่เราก็พบ frame rates ตกอย่างมากใน SSGS 23U คือ ตกในครึ่งหลังของการทดสอบ เหลือ 50-55 fps (ในขณะที่ในรอบแรกทำได้ 55-60 fps) โดยใช้เวลาทดสอบผ่านไป 15 นาที

เป็นอีกครั้งที่ชี้ให้เห็น ปัญหาการระบายความร้อน และเกิด throttling สำหรับ Samsung phone

เราพบปัญหาที่คล้ายกันนี้เช่นเดียวกันใน ASUS ROG Phone 7 แต่ fps ตกและแกว่งน้อยกว่ามากๆ เพราะมีปัญหาการระบายความร้อนน้อยกว่า

สิ่งที่ได้จากการทดสอบ ชี้ชัดว่า gaming phones อย่างเช่น ASUS ROG Phone 7 Ultimate ให้ผลประโยชน์ในการ lock fps ให้อยู่ในระดับสูง ในระดับที่น่าพอใจสำหรับผู้เล่น เกิดจาก (ความคาดเดาของเรา คือ) ระบบระบายความร้อนขนาดใหญ่ที่ทำให้ GPU clock ทำงานได้สม่ำเสมอและยาวนานกว่า ร่วมกับ การทำงานของ CPU ที่จัดลำดับความสำคัญของคำสั่ง graphics ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้การ drop ของ fps ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (เมื่อเทียบกับ Normal flagship smartphone)

อะไรที่เป็นสาเหตุทำให้ Mobile gaming fps drop ?

แม้ว่า Smartphones จะมี CPU ที่แตกต่างกัน และมีความสามารถในการจัดการและจัดลำดับ คำสั่งได้หลากหลาย (แล้วแต่การออกแบบสถาปัตยากรรม) แต่ปัญหาหลักของการเกิด fps drop และ game jank คือ การเกิด throttling ในการจัดการคำสั่งเหล่านั้น เพราะในทันทีที่เกิด heat เพิ่มสูงขึ้น —> Clock speeds ของ CPU จะเกิด throttled back เพื่อป้องกันไม่ให้ heat เพิ่มขึ้นไปอีก –> ผลที่ตามมาคือ ลดประสิทธิภาพโดยรวมของการทำงานเครื่อง และ drop fps

ทำไมเราจึงต้องการใช้ Gaming phone?

Gaming phone เช่น ASUS ROG Phone 7, Nubia REDMAGIC 8 นอกจากการออกแบบให้เพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมของเครื่องเพื่อการเล่นเกมส์แล้ว ยังเพิ่ม function บางอย่าง เช่น shoulder triggers เพื่อ map ปุ่มกด, การ customization ในระดับลึกเพื่อ performance mode, เพิ่ม macro support, record&streaming, key mapping เป็นต้น

Gaming phones ยังมีชุมชนที่แบ่งปันประสบการณ์การเล่น ทั้งปัญหาของ games software การใช้ accessories เพิ่มเติม เช่น cooling fan, controller community

Gaming phones ถูกสร้างขึ้นให้มี performance สูงสุด แต่ก็มักมีปัญหาใน features อื่น

ถ้าเรามองไปที่ Normal flagship smartphone ยกตัวอย่าง เช่น

SS มี Samsung’s Game Launcher, performance profiles, bypass charging controls, priority mode และ minor stats tracking

ส่วน HONOR มี HONOR’s Game Manager ที่ประกอบด้วย quick access to performance, mistouch prevention, screenshot และ DND toggles

จะเห็นว่า ในหลาย brand จะพยายามสร้าง core functionality ให้โดนใจ gamers แต่ความลึกของ configuration และ customization ก็ยังไม่เท่ากับที่ gaming phone นำเสนอ

ถ้าเราตัดสินใจแน่วแน่ที่จะใช้ function พิเศษของ gaming phone ที่โดดเด่นกว่า Normal flagship ทั่วไป สิ่งที่ต้องยอมรับ คือ อีกด้านที่ด้อยกว่า เช่น ความสามารถ และ คุณภาพของกล้อง, ไม่มี Wireless charger, ไม่มี IP rating ระดับสูง, ไม่มีการออกแบบ body ที่เพรียวบาง น้ำหนักในการจับถือง่าย

Gaming phones ถูกสร้างขึ้นเพื่อทำสิ่งๆ หนึ่ง (การเล่นเกมส์) ให้ดีที่สุด ขณะที่ Flagship smartphones อื่นๆ สร้างขึ้นให้ (พยายาม)ทำให้ได้ดีในทุกๆ สิ่ง

การเลือกสิ่งที่ใช่ จึงขึ้นกับการให้ลำดับความสำคัญของการใช้งาน คือ จะอยากใช้ fps สูงที่สุด หรือ ยอมรับ fps drop บ้าง เพื่อการใช้งานด้านอื่นๆ ที่ดีกว่า

Ref: 1. https://www.androidauthority.com/gaming-phone-test-3311502/?fbclid=IwAR3OZJvx-KbgHw-cV-qxVa8PevxJ4yUqU0imCBbijpRCDy7p-7VA2U1ER1M

การหาปริมาณ Fluorideใน Dentifrice แบบคิดในใจ

รูปที่เห็นถ้าเราพลิกรอบๆ กล่องยาสีฟัน จะเจอปริมาณฟูลออไรด์ในหน่วย ppm ที่คุ้นเคย ความหมายคือ ยาสีฟันหลอดนี้มีปริมาณ Fluoride ion ที่ความเข้มข้น 1,450 ppm (ปกติในยาสีฟันจะจำกัดปริมาณสูงสุดของ F – ion ที่ไม่เกิน 1,500 ppm)

และยาสีฟันในตลาดส่วนมาก สารออกฤทธิ์ที่ให้ F- ion จะมีอยู่ 2 ตัว

คือ

1.Sodium fluoride (NaF)

2.Sodium MonoFluoroPhosphate (Na2 PO3 F (คุ้นกันในชื่อ MFP fluoride))

(Na มี 1+, P 5+, O 2-, F 1- ดังนั้น Na ติดประจุ +1, PO3 ติดประจุ -1 (มาจาก 5+(-2×3)=5-6 = -1) , F ติด -1

ทำให้เป็น 2 Na ประจุ +2 กับ 1 ((PO3)F ) ประจุ -2 –> redox เป็น Na2 (PO3) F

MFP fluoride
NaF

แต่เราจะพบว่า ส่วนใหญ่ใช้ NaF มากกว่า MFP fluoride

และมีน้อยมาก ที่จะใช้ทั้ง MFP fluoride และ NaF ในหลอดเดียวกัน

Fluocaril จัดหนัก คือให้มาทั้ง 2 ตัว แต่ F-ion รวม ก็ยังจำกัดไม่เกิน 1,500 ppm

ทำไมผู้ผลิตจึงนิยมใช้ NaF > MFP fluoride ?

เหตุผล เพราะ ถ้าเรามาดูสูตรโมเลกุล NaF เทียบกับ MFP fluoride (Na2 PO3 F)

จากตารางธาตุ

มวลอะตอมของ Na = 23, F = 19, P = 31, O = 16, F = 19

จะได้

มวลโมเลกุล NaF = 23 + 19 = 42

มวลโมเลกุล Na2 PO3 F = (23×2) + 31 + (16×3) + 19 = 144

ปริมาณ F- ion ใน NaF = 19/42 = 0.4524 = 45 %

ปริมาณ F-ion ใน Na2 PO3 F = 19/144 = 0.1319 = 13.2%

ในปริมาณน้ำหนักที่เท่ากัน NaF จะ release F-ion > MFP fluoride ประมาณ 3 เท่า

Product ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Dentifrice, Mouthrinse หรือ Fluoride ในรูปแบบอื่นๆ จึงนิยมใช้ NaF เป็นหลักครับ

ทีนี้ลองเทียบปริมาณในการนำไปใช้

MFP 1% w/w = 10 mg/g จะมี F-ion = (10 x 13.2)/100 = 10/7.6 = 1.32 mg/g = 1.32 x 1000 = 1,320 ppm

NaF 1% w/w = 10 mg/g จะมี F-ion = (10 x 45)/100 = 10/2.2 = 4.55 mg/g = 4.55 x 1000 = 4,550 ppm

สรุปคือ MFP 1% w/w = F-ion 1,320 ppm, NaF 1% w/w = F-ion 4,550 ppm

ลองนำไปใช้ตรวจคำตอบในชีวิตประจำวันของคนทั่วไป

NaF 0.315% w/w = F-ion 0.315 x 4,550 = F-ion 1,433.25 ppm

ถือว่า มีการปัดเศษนิดหน่อย ก็ ok ~ 1,450 ppm เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าใจง่าย

ต่อมา ลองนำมาใช้ในชีวิตประจำวันทันตแพทย์กันบ้างครับ

จากบทความใน CDEC

ตัดมาเฉพาะตรงนี้

จากข้อ 1 Mouthrinse 0.05% = F-ion 225 ppm –> สารออกฤทธิ์ 1% =F-ion 4,500 ppm ( มาจาก 225/0.05 = 4,500)

จากข้อ 2 Mouthrinse 0.2% = F-ion 900 ppm –> สารออกฤทธิ์ 1% = F-ion 4,500 ppm ( 900/0.2 = 4,500)

เพราะเรารู้แล้วว่า NaF 1% w/w = F-ion 4,550 ppm

(สังเกตว่า Mouthrinse ต้องคิดเป็น w/v แต่ NaF เป็น w/w ซึ่งจะไม่มีความแตกต่างเมื่อคิดเป็น % หรือ ratio อย่าง ppm ที่ไม่มีหน่วยวัดเป็น prefix ของ g, litre เช่น mg, ml)

Mouthrinse ทั้ง 2 ความเข้มข้นในบทความนี้จึงใช้ NaF เป็น active F- ion release (แม้ท่านอาจารย์จะไม่ได้บอก แต่ละไว้ในฐานที่เข้าใจจาก conc ที่ให้ ว่าเป็น NaF )

อีกตัวอย่าง

เรื่อง แนวทางการใช้ F สำหรับเด็ก 2560

จาก ΝaF 1% w/w และ Conversion ratio ของ F-ion ใน NaF = 2.2 ( F-ion = 45% ของ NaF –> Conversion ratio = 100/45 = 2.2 )

0.05% NaF = 0.5 mg/ml –> ทำให้เป็น F-ion = 0.5/2.2 = 0.23 mg/ml –> (0.23×5) – (0.23×10) = 1.15 – 2.30 เป็นปริมาณ mg F ช่อง 1

0.2% NaF = 2.0 mg/ml –> ทำให้เป็น F-ion = 2.0/2.2 = 0.91 mg/ml –> (0.91×5)-(0.91×10) = 4.55 – 9.10 ปริมาณ mg F ช่องที่ 2

จะเห็นว่า การหารด้วย Conversion ratio ไม่ทำให้หน่วยเปลี่ยน เพราะ Conversion ration ตัวมันเองไม่มีหน่วย เป็นเพียงการหา F-ion ที่ซ่อนอยู่ในสูตรโมเลกุลของ Active gradient (ซึ่งในที่นี้คือ NaF) เท่านั้น

มาดูตารางในหน้าที่ 6 ของบทความ

APF 1.23% = 12.3 mg/ml (กรณี APF จะบอก % ของ F-ion มาเลย เวลาคิดเป็น mg/ml ให้นำ % w/v คูณด้วย 10 ) = 12,300 (1.23 x 10,000) ppm ( 1% w/v = 1/100 = (1/100) x (1,000,000/1,000,000) = 10,000/1,000,000 = 10,000 ppm)

2% NaF = NaF 20 mg/ml มี F- ion = 20/2.2 = 9.09 mg/ml ปริมาณในการเคลือบ 5 ml = 9.09 x 5 = 45.45 mg

สรุปวิธีคิด ปริมาณ F-ion จาก conc ของ NaF ที่ง่ายที่สุด คือ

1. นำ NaF % คูณด้วย 10 จะออกมาเป็น NaF mg/g (w/w), mg/ml (w/v)

2. นำผลที่ได้จากข้อ 1 เป็นตัวตั้ง แล้วหารด้วย 2.2 (ค่า Conversion ratio ของ NaF) ได้ออกมาเป็น F-ion หน่วย mg/g (w/w) หรือ mg/ml (w/v)

3. จากนั้นนำผลลัพธ์ในข้อ 2 มาคูณด้วย 1,000 จะออกมาเป็น F-ion ในหน่วย ppm

ตัวอย่าง เช่น Dentifrice ข้างกล่องระบุ Sodium Fluoride 0.315% w/w

1. นำ 0.315% x 10 = 3.15 mg/g NaF

2. 3.15/2.2 = 1.43 mg/g F-ion

3. 1.43 x 1,000 = 1430 ppm F-ion

4. Sensodyne หลอด 100 g มี NaF 315 mg มี F-ion 143 mg หรือ 1,430 ppm

และถ้าเราต้องการคิดแบบย้อนกลับ คือ พบว่า กล่อง Dentifrice ระบุ ปริมาณ (conc) F-ion เป็น ppm แล้วต้องการทราบ conc ของ Sodium fluoride ก็ทำได้โดย การนำ F-ion ppm มาคูณด้วย 2.2 แล้วหารด้วย 10,000 ก็จะออกมาเป็น % NaF ที่อยู่ในหลอดนั้น

สมมติเดินเข้าไปใน 7-11 แล้วเจอยาสีฟันที่ระบุแบบนี้

Active Fluoride 1,000 ppm

พลิกดูแล้วเป็น NaF

F-ion 1,000 ppm –> NaF = (2.2 x 1000)/ 10,000 = 0.22 %

Kodomo หลอดนี้มี NaF 0.22% ในขนาดหลอด 40 g

–> มี NaF (0.22 x 40) /100 = 0.088 g = 88 mg

อีกตัวอย่าง คือ เมื่อเราเจอ Active F-ion ปริมาณที่ไม่ลงตัว เช่น 1,450 ppm

วิธีคิด % NaF คือ การนำ 1,450 ppm มา + กัน 2 ครั้ง เป็น 1,450+1,450 = 2,900 (เป็นผลจากการคูณด้วย 2)

เก็บ 2,900 ไว้ในใจ แล้วตัด 0 ออก 1 ตัว ( เป็นผลจากการคูณด้วย 0.2) ได้ = 290

นำ 2,900 ที่เก็บไว้ในใจมา + 290 ได้ค่า = 3,190

นำ 3,190 / 10,000 = 0.319 % NaF

(วิธีคิดมาจาก 1,450 x 2.2 = 1,450 x (2 + 0.2) = (1,450 x 2) + (1,450 x 0.2))

Colgate Total หลอดนี้มี NaF 0.319%

นอกจากนั้นเรายังใช้วิธีนี้กับ Fluoride product ตัวอื่นได้

เช่น Silver Diamine Fluoride (SDF)

SDF มีสูตรโมเลกุล Ag (NH3)2 F

Ag 1+, NH3 ประจุ 0 (-3 + (1+1+1)), F 1- –>

Ag(NH3)2 ประจุ +1 กับ F -1 –> Αg (NH3)2 F

SDF atomic mass = Ag 108 + NH3 ((14+1+1+1)x2) + F 19 = 161

ปริมาณ F-ion ใน SDF = 19/161 = 0.118 = 11.8% = Conversion ratio 8.47

(มาจาก 100/11.8 = 8.47)

จากรูป แสดง conc ของ SDF ที่ใช้ในคลินิก = 38% w/v

วิธีคิด F-ion ที่อยู่ใน SDF

1. SDF 38% w/v จะมี conc = 38 x 10 = 380 mg/ml

2. SDF 380 mg/ml มี F-ion = 380/ 8.47 = 44.864 mg/ml (หารด้วย Conversion ratio ของ SDF)

3. F-ion 44.864 mg/ml = 44.864 x 1,000 = 44,864 ppm

นั่นคือ SDF 38% w/v จะมี F-ion 44,864 ppm

ตรวจคำตอบ

สรุป

ค่าพลัง F-ion ของ Mouthrinse อยู่ที่ระดับ 500-1,000 ppm

ค่า F-ion ของ Dentifrice จะมีค่าพลังอยู่ที่ 1,500 ppm

ค่า F-ion ของ Fluoride gel ค่าพลังระดับ 10,000 ppm

และ SDF ค่าพลังสูงที่สุด คือ อยู่ที่ระดับ 50,00 ppm

(ตัวเลขละเอียดตามข้างต้น แต่สรุปเป็นตัวเลขประมาณเพื่อให้จำได้ง่ายๆ ครับ)

Ref:

1. https://sciencenotes.org/use-periodic-table/

2. https://www.cdec.or.th/readonly_page.php?id=148

3. https://www.thaidental.or.th/main/download/upload/upload-20190213213340.pdf

4. https://dentalcouncil.or.th/images/uploads/file/0DZ0ANJWCPIWHGY3.pdf

5. https://www.cdec.or.th/readonly_page.php?id=10