Author: drpanlop

สิ่งที่เปลี่ยนแปลงใน iOS 26 beta 4

สิ่งที่เปลี่ยนแปลงใน iOS 26 beta 4

Apple release iOS 26 beta 4 ในวันอังคารที่ 22 ก.ค. 68 ตรงกับเวลา เที่ยงคืนของไทย

เลข build ของ version เป็น i (version ก่อนหน้าเป็น g)

(พรุ่งนี้ Apple จะปล่อย iOS 26 Public beta 1 เป็น เลข build 23A5297i ซึ่งเป็นตัวเดียวกันกับ Developer beta 4 ของวันนี้)

หลังจากนั้น จะปล่อย Dev beta 5 ใน wk หน้าครับ (ระยะห่าง beta ต่อๆ ไปจะเหลือเพียง 1 wk จนกว่าถึงปลายเดือน สิงหาคม ระยะห่างจะกลับมาที่ 2 wk อีกครั้ง)

มาดูสิ่งที่ iOS 26 beta 4 เปลี่ยนแปลงจาก beta 3 กัน ทีละข้อ

  1. design Liquid Glass ใน tool bars กลับมาใสเหมือน beta 1 หลังจาก ถูกทำให้ สีดูทึบ ขุ่นขึ้นจาก beta 3

ตัวอย่างของ ความใส ที่กลับมาใน beta 4

Apple ยังได้เพิ่ม ความใส ของ Liquid Glass ให้กลับคืนมาในส่วนอื่นๆ ด้วย

beta4 ทางซ้าย เทียบ beta 3 ทางขวา

ส่วนอื่นๆ ที่ความใส “กลับคืน” มามากขึ้น เช่น บริเวณของ Navigation bars ใน app Photo, Music, App Store, Podcasts ทำให้มองเห็นพื้นหลังชัดขึ้น

แสดง tab bar ของ Photo app ใน beta 4

beta 4 ซ้าย เทียบ beta 3 ขวา

จะสังเกตว่า Apple ลด effect กระจกฝ้า (frosted glass) ลงเล็กน้อย แต่การเปลี่ยนแปลงยังพอที่จะอ่านข้อความได้ชัดเจน เป็นการปรับสมดุล Liquid Glass ใหม่ระหว่าง beta 1 กับ beta 3

beta 1 บน เทียบ beta 3 ล่าง

ในส่วนของ Control Center, Lock Screen) และ Home Screen) ยังดูเหมือนเดิมเป็นส่วนใหญ่

ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงเรื่องความโปร่งใสมักจะอยู่ที่แถบนำทางและปุ่มต่าง ๆ ในแอปเป็นหลัก

และ บนหน้าจอ Lock screen นั้น พบว่า พื้นหลังจะมีความสว่างขึ้น ดังรูป

beta 4 ซ้าย เทียบ beta 3 ขวา

โดยรวม Apple ยังคงปรับเปลี่ยน ความใส และ ความทึบ ของ design Liquid Glasss ตาม feedback ของ user เรื่อยๆ จนกว่าจะ release Official iOS 26 ในเดือน กันยายน 68

2. Camera app มี splash screen เพื่อบอกข้อมูลของการ ออกแบบ UI ใหม่

เป็นหน้าจอที่ pop up ขึ้นมา เพื่อบอกเล่า ข้อมูลการเปลี่ยนแปลงของ UI app Camera เท่านั้น ไม่มีผลใดๆ กับ Settings ของกล้อง (เพิ่งเพิ่มขึ้นมาใน beta นี้)

การเคลื่อนของปุ่ม ที่ใช้สลับ mode กล้อง smooth ขึ้นทั้ง 2 direction

3. app Phone มีการ update ในส่วนของ การตั้งค่า silencing unknown callers และเพิ่มการจัดการใหม่เข้ามา

คือ

ไม่ปิดเสียงเลย (Never): สายเรียกเข้าจากเบอร์ที่ไม่ได้บันทึกไว้ (ใน Contacts)จะดังตามปกติ และสายที่ไม่ได้รับจะแสดงในรายการล่าสุด (Recents)

ถามเหตุผลที่โทรมา (Ask Reason for Calling): สายจากเบอร์ที่ไม่ได้บันทึกจะถูกขอข้อมูลเพิ่มเติมก่อนที่ iPhone จะดังขึ้นมา (ค่าบริการโทร และ ค่า data จะถูกคิดค่าใช้จ่ายปกติ)

ปิดเสียง (Silence): สายจากเบอร์ที่ไม่ได้บันทึกจะถูก “ปิดเสียง” และแสดงในรายการล่าสุด (ค่าโทร และ ค่า data ยังถูกคิดตามปกติ)

รูปแสดง Lock screen notification เมื่อ settings ให้ Ask reason for Calling

4. เพิ่มทางเลือก Dynamic color option ของ Wallpaper ขึ้นมาใน beta 4 (หลังจาก beta 3 เพิ่ม color option เท่านั้น)

เดิม Color option จะมี 4 สีนี้ให้เลือก

  • Dusk
  • Halo
  • Shadow
  • Sky

แต่ใน beta 4 จะให้ Dynamic option แทนที่ Color option เดิม (ซึ่งไม่มีให้เลือกแล้ว เพราะ Color อยู่รวมใน Dynamic option แทน)

( Dynamic option ของ Wallpaper คือ คุณสมบัติเดิมที่มีแล้วใน iOS 18 ไม่ใช่ feature ใหม่)

5. หลังจากตัด AI notification summay ของ News & Entertainment notification ไปชั่วคราว Apple นำกลับมาอีกครั้งใน beta 4

(เคยมีอยู่แล้ว แต่ถูกตัดออกไป ตั้งแต่ iOS 18.3 เดือน มกราคม 68)

สรุปการแจ้งเตือน (AI notification summary) ของ Apple Intelligence มีให้ใช้งานบนอุปกรณ์ที่รองรับ Apple Intelligence

(การสรุปการแจ้งเตือนด้วย AI ต้องใช้ iOS 18.1, iPadOS 18.1 หรือ macOS Sequoia 15.1 ขึ้นไป)

รูปแสดงใน Settings

(เราสามารถปัดไปทางซ้ายบนการแจ้งเตือนแบบสรุปบน หน้าจอ Lock screen แล้วเลือก ‘ตัวเลือก’ (Options) จากนั้นแตะ ‘ดูการตั้งค่า’ (View Settings) ในเมนู และสามารถปิดการสรุปด้วย AI สำหรับแอปนี้ได้โดยเลือก ‘ปิดการสรุป’ (Turn Off Summaries))

โดย feature นี้จะรวมการแจ้งเตือนหลายรายการจากแอปเดียวกันไว้ด้วยกัน และแสดงภาพรวมของเนื้อหาเป็นประโยคสั้น ๆ ดังรูป

(ก่อนหน้านี้เคยเกิดปัญหาของ feature นี้ เมื่อ AI ดึงรายละเอียดผิด ทำให้ Apple ต้องดึงออกไป แต่ Apple ได้ปรับปรุงเพื่อแก้ไขปัญหานี้แล้ว)

ปัญหาการสรุปข่าวผิด จนทำให้ Apple ต้องตัด feature นี้ออกไป ที่เคยเป็นข่าว คือ

การสรุปข่าวหัวข้อโดย AI ที่ผิดเพี้ยนเคยถูกสื่อ BBC รายงานไว้

ตัวอย่างหนึ่งคือการแจ้งเตือนที่สรุปผิดพลาดว่า Luigi Mangione ซึ่งเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรม Brian Thompson ซีอีโอของ UnitedHealthcare ได้ยิงตัวเอง ซึ่งไม่เป็นความจริง

BBC ได้วิจารณ์ Apple อย่างรุนแรง โดยระบุว่าฟีเจอร์นี้ ‘บ่อนทำลายความเชื่อมั่นไม่เพียงแต่ใน BBC แต่รวมถึงในข่าวสารและข้อมูลทั่วไปด้วย’

บทความถัดมาของ BBC ยังเปิดเผยตัวอย่างเพิ่มเติมที่แสดงถึงความผิดพลาดอย่างรุนแรงของการสรุปการแจ้งเตือนเหล่านี้

ข้อผิดพลาดดังกล่าว แสดงในรูป

6. Apple ได้ปรับ design Camera app icon ใหม่ ให้ดูคล้ายกับรูปร่างของเลนส์ UltraWide มากขึ้น โดยลดขอบดำด้านในลง ทำให้ดูเหมือน “เลนส์กล้องจริง” มากกว่าเดิม

(คือ icon กล้องใหม่ มีส่วนของ sensor กล้องมากขึ้น ดูคล้ายกับ เลนส์ UltraWide มากกว่า เลนส์ Wide หรือ Telephoto )

7. CarPlay เพิ่ม color options ของ Wallpaper ขึ้นมาใหม่

Apple ได้เปลี่ยนชุด Wallpaper ใน CarPlay ของ beta 4 โดยมีการเพิ่มตัวเลือกใหม่หลายแบบเข้ามา พร้อมกับ “ลบ“ Wallpaper เก่าจำนวนมากที่เคยมีมาตั้งแต่ iOS เวอร์ชันก่อน ๆ

CarPlay ใหม่ของ beta 4 มีวอลเปเปอร์ให้เลือกทั้งหมด 9 แบบ ซึ่งแต่ละแบบจะเปลี่ยนรูปลักษณ์ตาม light mode และ dark mode รวมทั้งหมดเป็น 18 แบบ

(ก่อนหน้านี้ CarPlay มี Wallpaper หลากหลายแบบ รวมถึงแบบที่อิงจาก Default Wallpaper ของ iPhone ในแต่ละรุ่น ตัวอย่างเช่นใน iOS 17)

CarPlay ยังมาพร้อมกับตัวเลือกใหม่สำหรับลักษณะ icon (แบบ light & dark mode), Music app ที่ออกแบบใหม่, widgets และ feature อื่น ๆ

( Apple รองรับการเล่นวิดีโอใน CarPlay เป็นครั้งแรกบน iOS 26 แม้ว่าผู้ผลิตรถยนต์จะต้องเปิดใช้งานการรองรับนี้เองก็ตาม)

8. iOS 26 beta 4 leak ข้อมูลที่แสดงการมีอยู่ของ HomePod ที่จะเปิดตัวในปีหน้า

MacRumors พบว่า beta 4 ใช้ภาษาที่น่าสนใจมากเมื่อกล่าวถึงการตั้งค่าของ HomePod ที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่ตั้ง โดยระบุว่า:

“HomePod ของคุณจะไม่สามารถ แสดง สภาพอากาศในพื้นที่ เวลาท้องถิ่น หรือรองรับคำขอของ Siri ที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ของคุณได้”

คำที่สำคัญ คือ คำว่า “แสดง”

เพราะในปัจจุบันยังไม่มีผลิตภัณฑ์ HomePod รุ่นใดที่มีหน้าจอสำหรับแสดงข้อมูลเลย

สอดคล้องกับ ข่าวลือว่า HomePod ที่มีหน้าจอ ถูกเลื่อนเปิดตัว ซึ่งขณะนี้คาดว่าจะออกมาในฤดูใบไม้ผลิปี 2026

ref :

1 https://9to5mac.com/2025/07/22/ios-26-beta-4-changes/?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR4WHwjGVlVhnUGAgU5o40OYpW9kkE2xQ2akz7mjLc36ioJebxQ-kRjdtMai8A_aem_0YxXCQIPXpqArbZBRYG7SA

2. https://www.macrumors.com/2025/07/22/apple-liquid-glass-ios-26-beta-4/?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR6YUpjDqU-sM0IW-A_VvjLBFkmpOWtzM2nIDSgGVa6qAGd3D2jroGkliOUofQ_aem_2tgNy1b0brfIVSUSU49EpA

3. https://9to5mac.com/2025/07/22/ios-26-beta-4-adds-more-liquid-back-to-liquid-glass-design/?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR5CTAi2lCy53XGFr-i14yHVIxeZML9JpHhbO6yO2lCi6iAvxYi_OZ-_EUd1XQ_aem_a2BrZeUN4uI8AdHWTRdteA

4. https://9to5mac.com/2025/07/22/ios-26-beta-4-adds-new-dynamic-option-for-iphone-wallpaper/?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR7UPCW4epEtk7u2v4DIx8tkkpyop0Qszz3KyurKasA6DQjhmB33HcJG1QHUSQ_aem_96QyjbJzh7NRWXbGCKsozw

5. https://9to5mac.com/2025/07/22/ios-26-carplay-wallpapers/?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR5kRBmLWHJMQ1HNMOGvi1NFWKD1OFOVjPmD7ujnETdzkx_8-hDvrZqBdIfupw_aem_mZklYllJ7syZ32pQy7gJ3w

6. https://www.macrumors.com/2025/07/22/ios-26-beta-4-notification-summaries/?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR5HeoO9l-v_CyHjEkVQRWLfs4DXeTAktt6hRA-0ptgr5O-G22c-IGhVvw9mQw_aem_txzy15W2k09K7qu3q_TWbw

7. https://www.idownloadblog.com/2025/07/22/ios-26-notification-summaries-news-entertainment-apps-enabled-by-default/

8. https://appleinsider.com/articles/25/07/22/apple-brings-back-notification-summaries-for-news-in-ios-26?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR5-iw0nNUzQKBgJFyckFHcHylcFZxZqDbelqyRNAln7K_mq6W25parJ-eL_kg_aem_HrM8R4RGqVcJ31Qe3f6Aow

9. https://www.macrumors.com/2025/07/22/homepod-with-display-ios-26/

สิ่งที่ Apple ปรับปรุงและเพิ่มขึ้นมาใน iOS 26 beta 3

สิ่งที่ Apple ปรับปรุงและเพิ่มขึ้นมาใน iOS 26 beta 3

ปล่อยออกมาเมื่อคืนนี้ หลัง beta 2 ออกมา 2 wk ตามนัดครับ

สิ่งที่ปรับใน release note

ใช้วิธีการ update ด้วยวิธี OTA

start เริ่มขอ request

preparing

เหมือน Apple จะเปลี่ยนหน้าตา step ใหม่

รวมเวลาทั้งหมดที่ใช้ ~ 30 min

build เปลี่ยนจาก 23A5276 f –> 23A5287 g (เปลี่ยนทั้งตัวเลข 5276 –> 5287 และ letter f –> g ซึ่งถือว่า build นี้ เปลี่ยนแปลงและ fix bugs เยอะมาก)

สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปใน iOS 26 beta 3

  1. เพิ่ม stock wallpaper ใหม่ อีก 4 แบบ มี Shadow, Sky (previous default), Halo, และ Dusk

2. แกัไข การแสดงผลของ app icon behavior บน dock ให้กลับมาเรียงปกติ ถ้าบน dock มี app icon น้อยกว่า 4 ( bugs เดิมคือ icon app จะเรียงให้ชิดซ้ายเสมอ ไม่สามารถเรียงใน center ได้)

3. ปรับความโปร่งใส ของ design Liquid glass ให้ “ใสน้อยลง” ในบาง app

เช่น Apple music ดูเปลี่ยน

แต่ app Photo ดูไม่เปลี่ยน

ส่วนของ app Podcast ดูเปลี่ยน

4. iPad สามารถหา cursor ได้โดยการ “เขย่า” เมาส์หรือแทร็กแพด ซึ่งจะทำให้เคอร์เซอร์ขยายใหญ่ขึ้นชั่วครู่ (เหมือนกับ Mac OS)

และ ยังเพิ่มการรองรับการ “ปัดนิ้ว” เพื่อสลับระหว่างแอปแบบเต็มหน้าจอและแบบหน้าต่างได้ด้วย

5. เพิ่มความอิ่มสี (saturation) ใน app Photo icon

ปรับสี icon File app

6. Watch OS 26 beta 3 เพิ่มความโปร่งใส ในหน้าเข้า password

รูปเทียบกับ beta 2 ทางซ้าย

icon Sleep app ของ Watch OS 26 เปลี่ยน

7. fix bugs ไม่สามารถใช้ Screen shot จาก Assistive touch button ได้ จาก beta 2

ref:

  1. https://developer.apple.com/download/#ios-restore-images-ipad-new
  2. https://developer.apple.com/documentation/ios-ipados-release-notes/ios-ipados-26-release-notes
  3. https://9to5mac.com/2025/07/07/ios-26-beta-3-changes/
Preview iOS 26 & iPad OS 26 (AKA iOS 19)

Preview iOS 26 & iPad OS 26 (AKA iOS 19)

คืนวันที่ 9 มิ.ย. 68 ผมไม่ได้ดู event WWDC 2025 นะครับ ( Worldwide Developers Conference 2025) เพราะเดาว่า ไม่น่ามีการเปิดตัว Hardware ใหม่ๆ จาก Apple

ดูจากช่วงหัวค่ำ เวบ Dev Apple ขึ้นแบบนี้ครับ

แต่ขณะที่ เวบ Apple Store ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ แสดงว่า คืนนี้ยังไม่มี product ใหม่ มาวางก่อนขายจริงแน่นอน

คงมีเฉพาะ firmware ใหม่ สำหรับ device ต่างๆ ใน ecosystem ของ Apple เท่านั้น เลยนอนดีกว่า ตื่นเช้ามาค่อยอ่านทีเดียว

หน้าตาของเวบ Developer ในตอนเช้า

Apple เปลี่ยนการนับ version ระบบปฏิบัติการของตัวเองตามข่าวลือจริงๆ คือ นับตามปีครับ งานเปิดตัวปีนี้ กลางปี ค.ศ. 2025 แต่ Official release ช่วงกันยา ตัวเลขนับเลยเป็น iOS (20)26 แทนที่จะเป็น iOS 19 (แบบนับต่อจาก iOS 18 ที่เปิดตัวปี 2024)

แน่นอน Xcode ก็ก้าวกระโดดจาก 16.4 –> 26

Xcode 26 beta ปล่อยออกมารองรับ iOS 26 beta

ปกติ การติดตั้ง iOS ที่เป็น major iOS คือ เปลี่ยนตัวเลขใหญ่ของ version ผมจะ install แบบ clean โดยไม่ใช้การ update แบบ OTA ครับ

เพื่อหลีกเลี่ยง bugs ที่เกิดระหว่างการติดตั้งจาก file system ใหม่กับเก่า และ ขยะต่างๆ ที่เหลือระหว่างการติดตั้ง (เราจะสังเกตว่า ส่วนใหญ่ major update ไฟล์ที่ download ได้ มักจะมีขนาดใหญ่มากๆ )

คือลำพัง bugs ของตัวมันเองใน beta 1 ก็เยอะอยู่แล้วครับ

การติดตั้งแบบซ้อนทับ (OTA ซึ่งมีลักษณะ incremental คือ เติมเฉพาะส่วนที่เปลี่ยน และลบส่วนที่ไม่ใช้เดิมออก) มีโอกาสเกิดข้อผิดพลาดระหว่างติดตั้งได้มากกว่า การติดตั้งแบบลบข้อมูลเดิมทั้งหมด (Restoration)

ผมจึงติดตั้งด้วยการใช้ Finder ในคอมครับ

ขนาด file ที่ download

ขั้นตอนแรก ลง Xcode 26 beta ก่อน

แสดง package ของ Xcode

install

จากนั้นมาถึง step ที่สำคัญสุด คือ การ backup ข้อมูลล่าสุดของเครื่อง ครับ

เพราะ การลง beta ใดๆ มีความเสี่ยงทั้งอาจเจอ bugs ที่อันตราย (จนอาจถึงใช้งานให้ดีเหมือนเดิมไม่ได้) หรือ ทำให้ app ที่เราใช้งานประจำวันในเครื่อง ใช้งานไม่ได้

ทางเลือกไม่ว่าจะ backup ผ่าน iCloud หรือ คอม สามารถทำได้ทั้งหมด เพื่อเก็บข้อมูล update ล่าสุดเท่าที่จะทำได้ในเครื่องสำรองไว้

เมื่อเวลาเกิดเหตุฉุกเฉิน ข้อมูลนี้จะมีความสำคัญมาก เพราะ เราทราบว่า เมื่ออยู่ใน firmware ตัวเลขที่สูงกว่า จะสามารถเรียกข้อมูลจาก backup ของเครื่องเดียวกันที่อยู่ใน firmware version ที่ต่ำกว่า หรือ เท่ากับ เครื่องเดิมเท่านั้น

ผมเลือก backup ลงในคอมครับ

เพราะวันนี้งานไม่ (น่าจะ) ยุ่งมาก น่าจะพอมีเวลาเลยเอาเครื่องมา update ในที่ทำงานเลย เพื่อความเร็วในการเรียกข้อมูลกลับ หลัง restore แล้ว

backup ทั้ง 16Pro และ iPad Air 5

backup ใช้เวลาประมาณ 15 min/เครื่อง ครับ

หรือจะสะดวก backup ผ่าน iCloud ก็ได้

ยิ่งถ้า backup บ่อย ยิ่งใช้เวลาไม่นานครับ เร็วมาก

หลังจากนั้นที่ Finder (หรือ iTunes) ใช้คำสั่ง option + restore เพื่อชี้ไปใน firmware ที่ download มาได้

จะมี pop up ขึ้นให้ “ปิด” Find My ในเครื่องก่อน

จากนั้นเลือก firmware ที่ตรงกับเครื่อง

pop up เตือน เมื่อเริ่มเข้า install process

จากนั้นเพียงรอกด lock screen code ที่หน้าจอเครื่องเท่านั้น แล้วกลับไปทำงานปกติได้ ปล่อยให้เครื่อง update firmware จนเสร็จ

ผมทำใน iPad เสร็จก่อน เลยอยากดูหน้าจอเครื่องเปล่า ของ iPad OS 26 แบบที่ยังไม่เรียก app ที่ backup ไว้คืนกลับ

หน้า Home ก็จะประมาณนี้

พื้นที่เครื่องแบบ clean

พื้นที่ของ iPad OS 26 ที่ใช้ storage ของเครื่อง ตอนที่เป็นเครื่องเปล่า

ใช้ space ไป ~ 18 GB ครับ ตีเป็นตัวเลขกลมๆ คือ 20 GB

ความสำคัญของตัวเลขตรงนี้ หมายความว่า ถ้าเราซื้อเครื่องเปล่า ความจุในเครื่องจะหายไป ในขณะที่เปิดกล่อง จะเท่ากับ 20 GB ครับ

เช่น สมมติ ปลายกันยายน 68 ถ้าซื้อ iPhone 17 Air ความจุ 128 GB จะมี space ให้เราใช้งาน ~ 108 GB ครับ (ในทุกรุ่น หายไป 20 GB โดยประมาณ)

มาดูของ 16 Pro ความจุ 512 GB

หลัง restore iOS 26 เสร็จ ก่อนผมเรียก backup กลับคืน

จะเห็นว่า ถ้ามองบรรทัดแรกสุดใต้รูป iPhone คือ ค่า free space ได้ 511.42 – 495.65 = 15.77 GB

นั่นคือ พื้นที่ iOS 26 ใช้ไป 16 GB

ถ้าเรานำตัวเลข 512 (ความจุตามรุ่น) – 20 = 492 GB ซึ่งถือว่าใกล้เคียง 495.65

มีค่า error = – 0.74% ถือว่า ยอมรับได้

สรุปคือ สำหรับ iOS 26 ใช้ความจุรุ่น หักออกไป 20 GB จะเท่ากับ ความจุที่เหลือไว้ให้เราใช้ได้

รูปแสดงหน้าจอ iPhone ขณะกำลัง restore

หลังจาก restore เสร็จ คือ เรียก apps และ media กลับคืนเครื่องเสร็จแล้ว ลองทดสอบ function ที่ใช้งานประจำไปเรื่อยๆ

ลอง iPhone Mirroring ครับ

(Mac เครื่องนี้อยู่ใน Sequoia 15.5)

พบว่า iPhone Mirroring ใช้งานได้ปกติ

ลองทดสอบการลง app ที่อยู่นอก App Store ไทย ด้วย Sidloadly

เกมเก่าๆ อย่าง Doom II ก็ยังลงได้ เล่นได้ปกติ

ลองเกมใหม่อย่าง Fornite version ล่าสุด

ยังลงได้ปกติครับ

หลัง install ผ่าน Sideloadly แล้ว อย่าลืมเปิด Dev mode ของเครื่องก่อนจึงจะเข้าไปเล่นได้

พบว่า เกมที่ติดตั้ง เล่นได้ทั้งใน Air 5 และ 16 Pro ได้ปกติ

ลองทดสอบ app finance ที่ผมใช้อยู่ตามรูป ใช้ได้ทุกตัว ยังไม่พบปัญหาครับ ทั้งการยืนยันตัวตนด้วย Face ID, การรับ OTP , การเข้าใช้งานภายใน app

การจัดการพลังงาน การใช้งานแบต หลังวางเครื่องไว้เฉยๆ ตอนนอน ใช้ไป 3% ซึ่งถือว่า ไม่แย่มาก แต่ก็ไม่ถือว่า มีการจัดการพลังงานที่ดีครับ ผมให้คะแนน 6.5/10 สำหรับ beta 1

จริงๆ วันเดียว ยังน้อยเกินกว่า จะบอกภาพรวมที่ชัดเจนในการจัดการพลังงาน ของ iOS 26 beta แรก ควรต้องใช้ซัก 3 วันครับ (คืออาจพบว่า แย่กว่านี้)

ในส่วนของ UI แบบ liquid glass บางท่านอาจไม่ชอบ เพราะดูลายตา น่าปวดหัว

เข้าไปปรับใน Settings ได้ครับ ตรง Accessibility –> Display&Text Size –> Reduce Transparent

จะได้ตามรูป เทียบ ก่อนเปิด vs หลังเปิด Reduce Transparent

สิ่งหนึ่งที่เพิ่มเข้ามา คือ คีย์บอร์ดภาษาไทย แบบใหม่ครับ

ลักษณะคล้ายๆ keyboard T9 ในโทรศัพท์ปุ่มกดในสมัยก่อน หลักการคือใช้การเดาคำในการพิมพ์ เมื่อเรากดแป้นพิมพ์ที่มีตัวอักษร จะผสมกันเป็นความหมายที่ต้องการโดยอัตโนมัติ

หน้าตาเป็นแบบนี้

ประกอบไปด้วยปุ่ม 4 แถวในแนวนอน และ 6 แถวในแนวตั้ง

วิธีการตั้งค่าใช้งานคือ

  1. ต้องลบ Thai keyboard ใน Settings –> General ออกไปก่อน

จากนั้นจึงกด Add new keyboard

2. ค้น Thai keyboard

3. เข้าไปใน Thai keyboard จะเห็น 24 Key ให้เลือก นอกเหนือไปจาก 5แถว และ 4 แถว แบบเดิม

4. จากนั้นเพิ่มเข้าไปใน keybord ของระบบ แล้ว edit เพื่อจัดลำดับภาษาตามปกติ

เวลาใช้งาน ไม่ต้องกลัว งง สะกดไม่ถูกนะครับ ลองเล่นดูได้ น่าจะทำให้พิมพ์ได้เร็ว และพิมพ์ถูกตัองตัวสะกด กันมากขึ้น

ดูจะเป็นการ update เล็กๆ แต่สำคัญมาก เพราะ keyboard น่าจะเป็น app ที่คนใช้งานกันมากที่สุด (มากกว่า app camera)

ความเห็นในช่วงท้ายของผม

ไม่แนะนำให้ลงในเครื่องหลักที่ใช้งานจริง ถ้าไม่สามารถ downgrade ได้ครับ

เพราะ เจอ crash เยอะมาก คือ ไม่ว่าจะใช้งาน app ใดๆ แม้ app พื้นฐาน มีเจอการเด้งออกจาก app และงานการเสียแน่นอน หรืออย่างน้อยสุด ก็เสียอารมณ์ จะหงุดหงิดง่ายครับ

แต่ถ้า downgrade ไป/กลับ ได้ด้วยตัวเอง และ ที่สำคัญที่สุด คือ ความเข้าใจคำว่า beta developer version ไม่ตั้งคำถามว่า ทำไมเครื่องร้อน? ทำไมแบตหมดเร็ว? ทำไม app ใช้งานไม่ได้? ทำไมห่วยจัง เครื่องค้าง? ทำไม icon Contol center เป็นแบบนี้? etc. ก็ลองใช้งานได้เลยครับ

เพราะ Apple เป็น brand ที่ไม่ชอบบอกอะไรมาทั้งหมดในครั้งเดียว แต่ชอบให้เราค้นหา และรู้สึกสนุกกับการพบสิ่งใหม่ๆ เหมือนได้ผจญภัยครับ

กำหนดการปล่อย iOS 26 แบบ Official

ปกติ Apple จะชอบ update ตรงกับวันจันทร์ครับ

คาดเดาว่า

วันที่ 8 Sept จะปล่อย RC version พร้อมการเปิดตัว iPhone 17 series

Preorder iPhone 17 series วันศุกร์ 12 Sept

ปล่อยวันเต็ม iOS 26 วันจันทร์ ที่ 15 Sept

เปิดขาย iPhone 17 series พร้อมรับเครื่องใน tier 1 วันศุกร์ที่ 19 Sept

ref:

  1. https://developer.apple.com/documentation/ios-ipados-release-notes/ios-ipados-26-release-notes
Oper 2025 “หรือความเรียบง่ายคือความซับซ้อนขั้นสูงสุด?”

Oper 2025 “หรือความเรียบง่ายคือความซับซ้อนขั้นสูงสุด?”

งานประชุมจัดที่ โรงแรม Eastin Grand พญาไท ถือว่า location ดีมาก คือ มี skywalk เชื่อมจากตัว BTS พญาไท เดินเข้าตัวโรงแรมได้เลย (ไม่ต้องเดินลงพื้นก่อนจากตัวสถานีรถไฟฟ้า)

เดินเข้ามาในตัวโรงแรมเจอ After U ดักเป็นร้านแรก

ห้องประชุม ขึ้น lift ไปชั้น 6 จะมีหลายห้องย่อย เรียงกันตามแนวลึก (ซ้อนๆกัน) ถ้าเดินหาเองจะงง ควรถามน้องพนักงานที่ดูแลแถวนั้น จะดีสุด

ส่วนห้องอาหาร จะอยู่ชั้น 5 อาหารหลากหลาย ส่วนรสชาติผมให้ 7/10 แต่ service ของน้องๆ พนักงาน ถือว่า ดีมากๆ 10เต็ม ในการหาที่นั่ง และคอยดูแล ระหว่างกินข้าว คือ น้ำในแก้วพร่องไปครึ่งนึง เดินมาเติมแล้ว ไม่รู้แกเห็นได้ยังไง

มุมมองจากโต๊ะที่นั่งครับ

สิ่งที่เขียนต่อไปนี้ ผมไม่ได้ถอดจากเทปบันทึกเสียง หรือ vdo นะครับ แต่เขียนจากความเข้าใจโดยอาศัยความจำระยะสั้น ( 1วัน หลังประชุม ) และ lecture ที่จดมาครับ

ใช้เวลาเขียนบทความนี้ 1 วันเต็มๆ

ผมอยู่แค่ครึ่งเช้า เพราะรู้สึกไม่ค่อยสบาย ได้ lecture แบบนี้มา 4 หน้าครับ เวลาอ่านความถูกต้องของเนื้อหาที่ผมเขียนจะไม่ถูกต้อง 100% เป๊ะ ตาม lecture ที่ท่านอาจารย์สอนจริง

ดังนั้นควรทบทวนจากแหล่งข้อมูลอื่น เช่น paper ที่ ref อยู่ในแต่ละ slide หรืออาจซักถามท่านอาจารย์ผู้รู้ในจุดที่สงสัยนะครับ

จุดที่ให้สังเกตอีกอย่าง คือ ใน lecture จริง ท่านอาจารย์จะหลีกเลี่ยงการพูดชื่อ บริษัทผู้ผลิต เพราะเรื่อง conflict of interests แต่ในบทความนี้ ผมจะเขียนชื่อบริษัทผู้ผลิตของ products ไว้ด้วย เพื่อความเข้าใจครับ

การเขียนและเรียบเรียงตามความเข้าใจของผมเท่านั้น ถ้ามี error จะไม่เกี่ยวกับท่านอาจารย์ที่ lecture ครับ

กำหนดการของงานประชุม ครึ่งเช้า

ท่านอาจารย์ผู้บรรยาย และผู้สนับสนุน

เริ่มเรื่องแรก โดยรวม เป็นการจัดการ defect ในระดับ Enamel โดยไม่ใช้การ prep หรือ เป็นการใช้ Bonding system อีกรูปแบบนึง ที่ใช้กับ Enamel เท่านั้น (โดยไม่มี dentin เกี่ยวข้องครับ)

คือ การจัดการ White Spot lesion (WSL) โดยไม่ต้อง prep เลย (ไม่มี invasion เลย)

(ชื่อของมันคือ Spot แต่จริงๆ โดยส่วนตัว น่าจะเรียก Area มากกว่า)

Outlook ของ WSP

ตัวเลขนี้น่าจำ เป็นค่าดัชนีหักเหของแสง เมื่อกระทบ Sound enamel = 1.62

ใน WSL เห็นเป็นสีขาวขุ่น เพราะค่า < 1.62

การตรวจด้วยตา และ tactile sense

tactile sense ได้จาก blunt explorer นะครับ (คนละ concept กับ caries หรือ check ความแนบสนิทของ margin)

แสงจากเครื่องฉายแสง ก็ช่วยได้ คือ ใช้ส่องผ่านจากด้านหลัง

ก่อนตรวจให้เริ่มจากการ clean surface ที่ดีก่อน

แสดง TFI score จะเริ่ม cut point ที่ระหว่าง score 4 กับ 5 ครับ

หมายความว่า 0 –> 4 เรา Tx แบบไม่ invasive ได้

แต่ถ้าเริ่มที่ 5 หมายความว่า lesion เป็น cavity แล้ว ต้อง Tx แบบ invasive ปกติ

แสดง Guideline

มาถึงตรงนี้ การตรวจเจอ WSL ควรต้องดูภาพรวมของการตรวจฟันซี่อื่นในปากด้วย

เช่น เมื่อพบ WSL ใน incisor และตรวจเจอที่ molar ด้วย อาจเป็น MIH ทำให้การ Tx ต้องจัดการหลายซี่ไปพรัอมๆ กัน

แสดงการแบ่งความรุนแรงของ WSL ถ้าแยกขอบเขตได้ไม่ชัด หรือ lesion มีสีไปทาง yellow มากกว่าไปทาง white แสดงถึง severity เพิ่มขึ้น –> การรักษาก็จะ invasive มากขึ้นตามไปด้วย

แสดงเคสที่รุนแรงมากขึ้น

ข้อดีของ การตรวจด้วยการใช้เครื่องฉายแสงจากด้าน P และถ่ายรูปไว้ คือ เห็น lesion ได้ชัด และ สื่อสารกับ pt ให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น

WSLM (White spot lesion management)

สิ่งที่สำคัญอีกเรื่องคือ ถ้าเจอ risk factor จะป้องกัน recur ได้

การรักษาที่เริ่มแรกสุด คือ Remin

agent ตัวแรกที่ง่ายสุด คือ การใช้ F- จาก dentrifice

แต่ข้อควรระวังจากการใช้ F- คือ สมมติถ้าเราใช้ [ F- ] ที่สูงมาก อาจเกิด remin ได้เฉพาะบริเวณ surface เท่านั้น ( remin ได้ไม่ลึกพอถึง บริเวณ lesion จริงๆ)

ซึ่งพวก CPC จะเข้ามาแก้ปัญหานี้ เพราะมัน penetrate ไปได้ลึกกว่า F-

2 บรรทัดล่างสุด คือ Arg และ SAP เป็นสารกลุ่ม protein และ peptide ที่เข้ามาเป็น game changer จากการทำงานของมัน

peptide จะเป็นประจุ – ทำให้เข้าไปจับกับประจุ + ของ HA (Ca 2+) เกิดการ form Scaffold ซึ่งทำหน้าที่เหมือนเกิด enamel matrix ใหม่

(โดยส่วนตัว ผมมองว่า หลักการคล้าย Regenerative endodontic ที่จะใช้ Stem cell + Scaffold + Growth factor แต่กรณีของ WSLM จะต้องการเพียง Scaffold เท่านั้น)

ตัวนี้คือ SAP-P11-4

รูปแสดงการทดลองใน paper ว่า peptide สามารถทำให้เกิด enamel matrix ได้จริง

กลไกการทำงานของ SAP คือ ประจุ – ของมันจะจับกับ Ca ซึ่งเป็น ประจุ + ที่มีอยู่แล้วใน Ca10(PO4)6(OH)2 เกิด attractive force ให้เกิดการสะสม inorganic เพิ่มขึ้น เลียนแบบการทำงานของ enamel matrix ตอนที่สร้างฟัน

แสดงการทดสอบ SAP จริงในทาง clinic ด้วยการออกแบบการทดลองแบบ Splt mouth (คือใช้ control และ variable ในคนเดียวกัน เพื่อตัด confounder ( confounding variable = ตัวแปรกวน ) จากปัจจัยอื่นๆ ในการทดลอง)

กลุ่ม control ใช้ F- vanish วันที่ 90 แล้วใช้ซ้ำวันที่ 180

กลุ่มทดลอง เริ่ม SAP P11-4 ในวันแรก แล้วตามด้วย F- vanish วันที่ 90 และ 180

การเปลี่ยนแปลงของ WSL ที่เห็น

จะเห็นว่า ในกลุ่มที่ใช้ SAP P11-4 มีการลดลงของ WSL ได้มากกว่า (มองเห็นได้น้อยกว่า เมื่อเวลาผ่านไปนานขึ้น)

ผลการทดลองนี้ สอดคล้องกับ Systemic review ที่ไดัจาก paper อื่นๆ

คือ การใช้ SAP + F- ให้ผลต่อ WSLM ดีกว่า การใช้ F- เพียงอย่างเดียว

ส่วนในเคส ที่เจอเกิดจาก fix ortho การเข้าไปจัดการควรรอให้ lesion อยู่ในภาวะ stable ก่อน คือ ~ 6 เดือน หลังถอดเครื่องมือ

รูปแสดงหลังการ remin ทำให้ WSL ดีขึ้น แต่ยังหลงเหลือปัญหาเรื่อง esthetic

การเข้าไปจัดการปัญหานี้ ต่อจาก การใช้มาตรการ remin คือ การใช้ Bleaching

ทบทวน Bleaching

ในกลุ่มที่เราใช้อยู่ทั้ง in office และ home

การศึกษาพบว่า ใช้ Bleaching เป็น WSLM ได้เลย

หลัง Bleaching วันที่ 28 –> ฟันขาวขึ้น ~ 28%

และทำให้สีของ Sound enamel และ WSL เกิด blending กลืนกันได้มากขึ้น

วิธี Bleaching ที่ได้ผลคือ in office + home

แม้พบว่า หลัง Bleaching ไม่มีผลต่อ hardness ของผิว enamel

แต่พบว่า ที่ผิวมีการ loss Ca, PO4 ได้เล็กน้อย

ดังนั้น คำแนะนำคือ ให้ทำ remin อีกครั้ง after Bleaching

Case ที่ใช้ Bleaching เข้าไปทำ WSLM

(สีของรูปที่ผมถ่ายได้ ไม่ค่อย ok ไม่เห็นรายละเอียดครับ ให้ดูพอเป็น idea ใน slide จริง ของท่านอาจารย์ จะเห็นชัดกว่านี้)

เทียบ before & after

อีกเคสนึง pt มี dias ที่ต้องแก้ร่วมด้วย

Bleaching แก้ WSL ก่อน –> dias

ต่อจาก remin –> Bleaching –> คือ การทำ Resin infiltration

Resin infil จะเข้าไป fill ที่ Sub-surface enamel porous

จัดว่า invasive ขึ้น แต่ก็ยังเป็นวิธีที่ไม่ต้องใช้การ prep

หลักการ คือ เปิดทางด้วย กรด แล้ว check ทางที่กรดไปถึงด้วย ethanol จากนั้นทา resin ให้ infil เข้าไปถึงตำแหน่งที่ต้องการ

ด้วยความที่เป็นการจัดการกับ enamel ดังนั้นให้ลบภาพความเข้าใจของ DBS ออกไป

เพราะเราจะใช้ กรดที่แก่ขึ้น + เวลาที่ apply มากขึ้น + ไม่ต้องเถียงกันเรื่อง overwet, overdry (เพราะ ต้อง dry ในระดับที่ใช้ ethanol ไล่น้ำออกไป) + เวลาที่ให้ resin ทำงานก่อน light cure มากขึ้น

รูปแสดง WSL

แสดง การทำ resin infil ที่ผิด เพราะ กรด และ ethanol ไปไม่ถึง ความลึกของ WSL

รูปแสดงการทำงานที่ถูกต้อง คือ etching + ethanol ไปถึงชั้นลึกที่เราต้องการ

(ชั้นสีเขียว cover สีแดงทั้งหมด)

เมื่อ apply resin จึงสามารถ infil เข้าไปในตำแหน่งได้

indication ในการทำ คือ enamel ต้องยังไม่ cavitated

contra ของ resin infil ที่สำคัญมากคือ จะไม่ทำใน pt high caries index

ข้อดีของมัน (ท่านอาจารย์ ย้ำเรื่อง การสื่อสารกับ pt ถึงผลที่อาจจะไม่ได้ตามนั้น และ ค่าใช้จ่าย ถ้ายอมรับไม่ได้ ก็อาจจะใช้ filling แทนไปเลย)

เน้นมาก ต้องใช้ Rubber dam ทุกเคส

(ความเห็นของผม อย่าลืมว่า นี่คือ การทำงานกับ HCl ซึ่งเป็นกรดแก่ กรดแก่ 3 ตัว (จาก 6 ตัว) คือ กรดของธาตุในตารางธาตุหมู่ 7 มีข้อยกเว้นคือ HF ตัวเดียว ที่ไม่เป็นกรดแก่ เพราะค่า electronegativity ของ F- ที่ทำให้การแตกตัว H+ ทำได้ยากกว่า Cl, Br และ I)

รูปแสดง step ทั้งหมด

การทา ethanol เพื่อให้เรามองเห็นว่า etching พอหรือไม่?

คือ ถ้ายัง etch ไม่พอ เราจะยังมองเห็น WSL อยู่ครับ

ต้อง etching ซ้ำ

แล้ว check ด้วย ethanol ซ้ำ

จากรูป พบว่า เรามองไม่เห็นขอบเขตของ WSL แล้ว –> แสดงว่า etch ถึงชั้น lesion เป้าหมาย

ใส่ matrix เพื่อกันการเชื่อมติด

ทา resin

ทิ้งให้ resin infil แล้ว light cure

ทา resin ครั้งที่ 2

ทิ้งไว้ แล้ว light cure

after

รูป before & after

แสดงขั้นตอนอย่างละเอียด (อีกรอบ)

เมื่อมาดู detail กันที่ความลึกจาก etching ด้วย 15% HCl เป็นเวลา 2 min

จะกัดชั้น Sound enamel ที่ความลึก 0.9 – 2 μm

ขณะที่ชั้น WSL กัดที่ความลึก 92 μm

สรุปคือ ถึงจะใช้ 15% HCl นานถึง 2 min แต่ Sound enamel ไม่ได้รับผลกระทบ

รูปการทดลอง พบการเกิด resin tags เฉพาะบริเวณ WSL แต่ไม่พบในบริเวณ Sound enamel

Longevity ของการรักษาด้วย resin infil ในระยะสั้น คือ 1-3 ปี อยู่ในเกณฑ์ที่ดี

แต่ในระยะยาว พบ color stability ไม่ดี จากการติดสีเครื่องดื่ม เช่น coffee ได้ ซึ่งการแก้ไขได้ด้วยการ polishing

ต่อไปคือ หัวข้อที่ท่านอาจารย์รวบรวมมาให้ เป็นเรื่องของ timing ในการทำ resin infil เมื่อต้องทำร่วมกับหัตถการอื่น (ว่า ควรทำอะไรก่อน/หลัง)

เมื่อต้อง Bleaching อันนี้ค่อนข้างชัดว่า ต้อง Bleach ก่อน resin infil โดยรอ 2 wk เพื่อให้ free radical หมดก่อน แล้วจึงค่อยทำ resin infil

(หมายถึง ทั้ง vital bleaching ทั่วไป และ bleach กรณีที่แก้ไข WSL ด้วย)

แต่ถ้าเจอเคสที่ Pt ทำ resin infil มาเรียบร้อย แล้วต้องทำ vital bleach ต่อ ก็สามารถทำได้ครับ เพราะ free radical ก็ยังสามารถ penetrate เข้าไปทำงานกับ organic part ได้ (resin ไม่ได้ปิดที่ผิวทั้งหมด แต่ infiltrate เข้าไปแทรกในระหว่าง crystal ที่ถูก etch ในลักษณะของ pit & hole)

เอารูปมาให้ดูอีกครั้ง ลักษณะการ infil ของ resin ในชั้น enamel ที่เป็น porous

เทียบ timing ระหว่าง resin infil กับ Bleaching ถ้าทำ ก่อน/หลัง จะเห็นว่า ทำก่อน Bleaching ก็ได้ผลไม่เปลี่ยนแปลงในด้านการเปลี่ยนสีของฟัน

timing สำหรับ resin infil กับ การติดเครื่องมือ Ortho

การทำ resin infil ก่อน จะ effect bonding ของ Ortho ครับ แต่การทำหลังถอดเครื่องมือ จะมีผลคือ แก้ WSL ที่เกิดจาก bracket ได้

ใน pt Pedo แนะนำการทำ resin infil (หมายถึง ถ้ามี requirement จะต้องทำในเคสนั้นๆ) ควรอยู่ในช่วงที่ฟัน eruption ได้เต็มที่ก่อน

ช่วงอายุที่เหมาะ เริ่มต้นที่ 9 – 10 ขวบ

timing ต่อการ filling

เพราะ filling มีการ prep ถือว่า invasive กว่า resin infil จึงต้องทำ resin infil ก่อน แล้วจึงตามด้วย filling

อีกเรื่องที่ ท่านอาจารย์ไม่เน้นนัก เพียงแค่พูดถึง คือ Microabrasion

จะกำจัดผิว enamel ได้ถึงระดับ 200 μm

Microabrasion ทำให้ผิวฟันเรียบขึ้น จากการทำให้เกิด compacted prism-free enamel surface เพราะ กรด (stronger) และผงขัด (large particle abrasive) จะขจัดการเรียงตัวของ enamel rod ที่เดิมมีรูปร่างเป็น prismatic (key hole shape) ให้เรียงตัวเป็น ผลึก HA needle shape form โดยเรียง parallel กัน

คือ แทนที่จะเป็น enamel rods ต่อกันเป็นรังผึ้ง (หรือ key hole) Microabrasion จะขจัด form นี้ออกไป กลายเป็น uniform ของผลึกที่เรียงขนานกัน เกิด compated prism-free enamel surface ลักษณะที่เรียบ และ อัดแน่น จะต้านต่อ acid (bonding ยากขึ้น) และต้านการเกาะของ plaque

การใช้ กรดในชุด DBA + pumice ขัดด้วย slow speed handpiece ไม่ถือว่า เป็นการทำ Microabrasion

รูปเทียบระหว่าง การทำ resin infil กับ Microabrasion

พบว่า เมื่อเวลาผ่านไป สีของ resin infil จะ stable กว่า

และถ้าจะทำร่วมกัน จะทำ Microab –> resin infil

เรื่อง สุดท้าย Macroabrasion คือ มีการ prep ครับ ถือว่า หลุดจากขอบเขตของวิธี non-invasive ที่พูดกันมาทั้งหมดแล้ว

เพราะผิวฟันจะถูกกำจัดในระดับการ prep Veneer แล้ว (~ 0.5 mm)

เป็น slide สรุป การทำงาน โดยเฉพาะขั้นตอน การสื่อสารกับ pt

เช่น

-การ relapse ของสีที่ได้จาก Bleaching

-การเปลี่ยนสีของ resin infil จาก extrinsic stain

-ค่าใช้จ่ายในการทำงานระหว่างวิธี non-invasive กับการ filling

แสดงเคสทาง clinic ที่มี pattern ของการหายของ WSL แบบ Centripetal infiltration

(ผมเก็บได้เฉพาะ รูปก่อนทำ)

รูปแสดง การหายของ WSL ใน pattern ต่างๆ

เช่น หายจากตรงกลาง ออกไปทางขอบ (Centrifugal) หรือ จากขอบ เข้ามาตรงกลาง (Centripetal) etc.

ถ้าเจอรอยโรค ที่ negative ต่อ ขั้นตอน ethanol test เราสามารถเพิ่ม infiltration time ตอนทา resin ให้นาน > 3 นาทีได้ครับ

หมายความว่า ยิ่งเพิ่มเวลา การ infiltrate จะเข้าไปได้ดีมากขึ้น (แต่ถ้า positive ethanol test คือ มองไม่เห็นขอบเขต lesion แล้ว ไม่จำเป็นต้องเพิ่ม infiltration time)

ข้อควรระวัง การสื่อสารกับ pt (และ ผู้ปกครอง) และ ต้อง control OHI ให้ได้ก่อนเราจะเลือกแผนการรักษาแบบต่างๆ

ช่วง คำถามจาก floor

  1. ถ้าเจอ pt เราจะมีวิธีตรวจอย่างไร ว่า ฟันซี่ไหนที่ผ่านการทำ resin infil มาแล้วบ้าง ?

ตอบ ยังไม่มีวิธีตรวจด้วยเครื่องมือ ที่สามารถแยกความแตกต่างระหว่าง ฟันที่เคยผ่านการทำ resin infil vs ฟันปกติที่ยังไม่เคยทำมาก่อนได้ จึงแนะนำว่า ให้ทราบได้จากการ Hx ครับ

2. ในฟันที่เป็น abutment ของ prosthesis เช่น clasp ของ removable แล้วเกิด White lesion จาก demineralize เราสามารถทำ resin infil ในฟันเหล่านี้ได้หรือไม่?

ตอบ ทำได้เหมือนกัน ใช้หลักการและวิธีแบบเดียวกัน แต่ถ้ายังมีตะขอเกาะที่ตำแหน่งเดิม ก็เหมือนไม่ได้กำจัด risk factor ออกไปทั้งหมด สรุปคือ ทำได้เหมือนกัน

3. ในการทำ resin infil ในขั้นตอน การ etch –> ethanol test ถ้ายังเห็นว่า negative อยู่ เราสามารถทำซ้ำแบบวนไปเรื่อยๆได้กี่ครั้ง ?

ตอบ ที่เคยทำมา เคยทำสูงสุด 5 รอบซึ่งขั้นตอนแต่ละรอบจะกินเวลานานพอสมควร จน pt เกือบจะทนไม่ไหว (คือ ทำ 5 cycle ก็ถือว่า นานแล้ว) แต่เท่าที่หาได้จาก paper มีการ etch + ethanol test ได้ถึง 7 รอบ)

จบ lecture ของ part ที่ 1 ของช่วงเช้า

Lecture Part ที่ 2 โดยภาพรวม หลายคนอาจจะเคยได้ยิน หรือ ได้ใช้ Composite resin ตัวใหม่ ที่มีลักษณะ Universal shade มาแล้ว คือ technology ที่ทำให้ Composite 1 หลอด สามารถ matching ได้กับฟันธรรมชาติหลาย shade สี

(ในความเข้าใจของผม มีความรู้และประสบการณ์การใช้งาน Composite ในกลุ่มใหม่นี้ เป็น 0 คือ ยังไม่เคยใช้งานจริงเลยครับ ดังนั้น ส่วนที่ผมเรียบเรียงใน part นี้ ถ้าอ่านแล้วรู้สึกแปลกๆ ไม่ค่อยเข้าใจ ต้องขออภัยจริงๆ ในตอนท้ายท่านอาจารย์ผู้บรรยาย กรุณาให้ช่องทางติดต่อไว้ด้วย ดูแล้วอาจารย์น่าจะใจดีในการอธิบายข้อสงสัย ถ้าท่านผู้อ่านติดต่อไปนะครับ)

และ lecture เรื่องนี้จะทำให้เราสามารถเข้าใจ Composite resin กลุ่มใหม่นี้ ได้ลึกซึ้งขึ้น และเลือกใช้งานได้อย่างมั่นใจกว่าเดิม

หลักการของ Simplified shade คือ การจัดกลุ่มสีที่มีอยู่แล้ว ให้มีความเป็นกลุ่มหลักมากขึ้น (พูดอีกอย่างคือ แยกเป็นกลุ่มย่อยน้อยลงนั่นเอง)

เมื่อทำให้กลุ่มสีเหลือนัอยลง การเลือกสีก็จะง่ายขึ้น

แสดง Shade ต่างๆ ของ Composite resin ที่เรามีใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน ที่มีลักษณะเป็น Multishade composite resin

เรารู้ว่า ในฟันธรรมชาติ การส่องผ่านของแสง ผ่าน enamel ได้ 70% ผ่าน dentin ได้ 52%

ทำให้การสร้าง Composite resin ต้องเลียนแบบลักษณะการส่องผ่านของแสง ผ่านชั้นที่ยอมให้แสงผ่านได้ต่างกัน เป็นที่มาของ Multishade layering technic

แต่ความยากในการทำให้แสงผ่านได้ตามต้องการ คือ การควบคุมชั้นความหนาของวัสดุในชั้นต่างๆ

รูปแสดงความใส ของชั้นต่างๆ ของวัสดุในการยอมให้แสงผ่าน

ปัจจัยที่มีผลต่อ Shade matching

เช่น background สี black & white จะให้ความแม่นในการเทียบสีได้ดีกว่า

ข้อจำกัด ของ Operator

แสดง brand ของ Composite resin ที่มีการ Simplified shade

เราสามารถแยกประเภทของวัสดุพวกนี้ ได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่

คือ

กลุ่มที่ยังออกแบบให้มีหลายหลอด (เช่น 3 หลอด = 3 shade ในการทำงาน เช่น สีทึบ, สีปกติ, สีขาวขุ่น) เรียกกลุ่มนี้ว่า Group shade system

กลุ่มที่ออกแบบให้มีใช้งานเพียง 1 หลอดเท่านั้น เรียก One shade system

เพื่ออธิบายให้เห็นภาพ เราจะเริ่มจาก แผง Vita shade classic ที่คุ้นเคย จาก A1 –> D4

มีการหาค่า C value แล้วจัด group Vita shade

ค่าสี ในระบบ CIE L*a*b*

แกน Y แทน ค่าความสว่าง ตั้งแต่มืดสุดคือ 0 ไปจนถึงสว่างสุด คือ 100

แกน X แทน ค่า C แทน Chroma ยิ่งค่ามาก สีนั้นจะอิ่มตัวสูง

ได้กลุ่มใหม่เกิดขึ้น ตามรูป 5 กลุ่ม

วิธีการเลือก shade แบบนี้ ยังใช้ Vita shade ในการอ้างอิง

เช่น สมมติเราเลือกสีได้ B1 จะเลือกใช้ Composite หลอด A1 ในการ filling

แต่ ถ้าเราเลือกสีฟันได้ตรงกับ Vita C2 เราจะเทียบได้เท่ากับ สี Composite ในหลอด A3

รูปแสดง การ Simplified shade ในกลุ่มแรก คือ Composite resin ในกลุ่ม Group shade system ทั้ง 4 brand ที่มีในไทย

ส่วนใหญ่เป็นระบบ 3 หลอด คือ มี 3 shade ให้เลือกหยิบใช้

เริ่มกันที่ brand แรกสุดในกลุ่ม คือ NeoSpectra จาก Dentsply ครับ

NeoSpectra มีการจัดกลุ่ม เป็น A1, A2, A3, A3.5, A4 อิงตาม Vita shade classic ตามรูป (คือ แถวบนสุด NeoSpectra ST Universal Cloud shade)

shade หลักของ brand นี้ จึงมี 5 หลอดครับ

ได้การใช้งานออกมาเป็นแบบนี้ครับ

ถึงจะใช้ Universal shade (A1,A2,A3,A3.5,A4) เป็นหลัก แต่เพราะ translucency ของ shade หลัก ยังไม่พอ ถ้าเจอ background ที่เข้มผิดปกติ

จึงมีการเพิ่ม shade พิเศษ เพื่อปิดสี background เป็น Opaque และ shade ใส

ประกอบด้วย Opaque dentin shade สี D1 (เหลือง) กับ D3 (เหลืองเข้ม) –> 2 หลอด

Translucent Enamel shade สี E1 (เขียว) –> 1 หลอด

technology ที่ NeoSpetra ST ใช้คือ Sphere TEC fillers

Filler load ~ 60% และ ทำให้เกิด chameleon effect

เป็น brand ที่ยังอ้างอิง Vita shade และยังต้องใช้งานโดยมี Shade key เป็นของตัวเอง (Shade key ที่ใช้คือ A1–> A4 + D1,D3 + E1)

brand ที่ 2 คือ Simplishade ของ Kerr

Simplishade จัดกลุ่มสีแบบใหม่เป็น light, medium, dark

คือ ยังมีการอิง Vita shade อยู่ครับ แต่เมื่อ grouping สีใหม่แล้ว ทำให้ง่ายขึ้น

เช่น สมมติเทียบสีฟันจาก Vita ได้ D4 ก็เลือก Simplishade สี medium ใช้ได้เลย ตามรูป

ปริมาณ fiiler load 66% และใช้ technology ART ในการ blending สี

และ ถึงจะมี 3 shade หลักให้เลือกใช้ แต่จากข้อจำกัดของ monotranslucency ทำให้ต้องมี shade พิเศษ เพิ่มขึ้นมา คือ

Universal opaque เพื่อปิดสี background ที่เข้มเกินไป

Bleaching white เพื่อใช้กับฟัน bleaching มาแล้ว เพิ่มขึ้นมาเป็น shade พิเศษโดยเฉพาะ

brand นี้จึงใช้ สีหลัก 3 หลอด + สีพิเศษ 2 หลอด

brand ที่ 3 คือ Clearfil Majesty ES2 จาก Kuraray

เป็นระบบ 3 หลอด คือ

UL (Universal Light), U , UD (Universal Dark)

และด้วยข้อจำกัดของ monotranslucency จึงต้องออกสีพิเศษ คือ UW (Universal White) เช่นกัน

ปริมาณ filler load ตรงนี้น่าจะเดาปริมาณกันได้ค่อนข้างใกล้เคียงแล้ว และใช้ tecnology ชื่อ LDT

brand ที่ 4 เป็นของ 3M

Filtek Easy Match โดยพื้นฐานพัฒนามาจาก Z 350

การ Simplified shade ของตัวนี้ หลุดพ้นจาก Vita shade ไปแล้วครับ

จัดกลุ่มสีเป็น 3 group คือ

Bright, Natural, Warm

ที่มาของการจัดกลุ่มสีแบบนี้ เพราะ 3M ใช้วิธีทดสอบให้ dentist ดูรูปฟัน 3 รูปด้านล่างนี้ แล้วให้เลือกกลุ่มสี

ผลของการ survey คือ ผู้ถูกทดสอบ สามารถจัดกลุ่มได้ตามผล bar graph ได้ด้วยการมองเพียงอย่างเดียว

ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้ทั้ง Vita shade และ Shade key อีกต่อไป

ความหมายคือ

1.ไม่ต้องเทียบสีฟันด้วย Vita

2.มองเห็นฟันด้วยสามารถ แล้วสรุปได้เลย ว่า สีปกติ สีเข้ม สีอ่อน โดยไม่ต้องใช้ Shade key

ปริมาณ filler load และ ใช้ Naturally-Adaptive Opacity technology

slide สรุป ทั้ง 4 brand ที่ใช้ Group Shade System (4 brand นี้ มีขายในไทย)

ทบทวน สิ่งที่ผ่านมาทั้งหมดใน Group shade system ทำให้เราสรุปได้เป็นรูปนี้ คือ

จากรูป แถวบนสุด คือ Shade selection แบบมาตรฐาน กระบวนการเลือก เหมือนการเลือกสี Porcelain เวลาเราทำชิ้นงานใดๆ

Shade selection แถวกลาง คือ Group Shade System brand ที่ยังอิง Vita shade และสร้าง Shade key ใหม่ของตัวเอง ในการ matching

และ แถวสุดท้าย คือ Group Shade System brand ที่ใช้การมองที่ฟัน แล้ว matching ได้เลย โดยไม่ต้องใช้ Vita อ้างอิงอีกต่อไป และ ยังไม่ต้องใช้ Shade key ของบริษัทผู้ผลิต อีกด้วย

และต่อไปนี้ จะพูดถึง Composite resin ในกลุ่มสุดท้าย คือ ไม่ต้องใช้ Shade selection อีกต่อไป เพราะ มีเพียงหลอดเดียว เพื่อใช้กับฟันทุก shade

นั่นคือ Composite resin ในกลุ่ม One shade system

brand ที่ขายในบ้านเราของระบบหลอดเดียว มีทั้งหมด 3 brand

คือ Omnichroma, Charisma Topaz, AUNO

(ตัวสุดท้าย คือ AUNO มีข้อมูลทาง technic จากบริษัทผู้ผลิตน้อยมาก)

จะรู้จักวิธีการพัฒนาการเกิดสีของกลุ่มนี้ ต้องทราบแนวคิดพื้นฐานก่อน

จากมุมมองการเกิดสี สีเกิดได้จาก 2 แนวทาง คือ

  1. การเกิดสีทางเคมี เกิดจาก pigment molecule ที่เติมเข้าไป (หรือมีอยู่เดิมแล้วในธรรมชาติ) เช่น สีเขียวในพืช จาก Chlorophyll ที่ดูดกลืน ทุกความยาวคลื่นในช่วง visible light ยกเว้น λ ของแสงสีเขียวที่ไม่ถูกดูดกลืน จึงเกิดการสะทัอน, กระเจิง, หักเห เข้าตาเรา ทำให้เห็นเป็น ใบไม้สีเขียว

รูปนี้แสดง ข้อจำกัดของการเกิดสีจาก pigment คือ เมื่อแสงจากแหล่งกำเนิด ตกกระทบวัตถุ การแสดงออกของสีจะเกิดตาม pigment ที่เติมเข้าไป ดังนั้นการ matching เมื่อวัตถุที่มี pigment ต่างกัน มาอยู่ด้วยกัน จึงทำได้ไม่ดี

2. การเกิดสีจากโครงสร้างของวัตถุ เรียก การเกิดสีด้วยวิธีนี้ว่า “การเกิดสีเชิงโครงสร้าง” การเกิดสีแบบนี้ เกิดขึ้นจริงในธรรมชาติ

เราทราบว่า แสงเป็น EMW (คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า) ซึ่ง 1 ในคุณสมบัติที่สำคัญของ wave คือ การเกิดการแทรกสอดได้

รูปแสดง การเกิดสีที่เรามองเห็นของ ปีกผีเสื้อ

เมื่อเราดูภาพขยายของพื้นผิวปีกผีเสื้อ จะพบการเรียงตัวเป็นชั้นๆ ที่มีขนาดเล็กมาก คือ เล็กในระดับ nano (10^ -9 m)

เราทราบว่า แสงที่เรามองเห็นจะอยู่ในช่วงความยาวคลื่นของ visible light = 400-700 nm (ตัวเลขที่ accurate กว่าคือ 380-780 nm)

ดังนั้นพื้นผิวของวัตถุใดๆ ที่มี scale ในระดับความหนาของชั้นโครงสร้างขนาด 100-200 nm จะมีผลต่อ visible light ได้

ปีกผีเสื้อ มีโครงสร้างเล็กๆ เรียก เกล็ด (scale) แต่ละเกล็ดมีขนาด 100-150 μm

ภายในแต่ละ เกล็ด จะมีโครงสร้างระดับ nano เรียก lamellae (ridge-valley pattern) ดังที่แสดงในรูป

ช่องว่างระหว่างชั้น ขนาด 150-250 nm

ความกว้างของแต่ละ ridge = 50-70 nm

นั่นคือ ถ้าคิดเป็นค่าเฉลี่ย ความหนาแต่ละชั้นที่ซ้อนกันอยู่ในเกล็ด = (150+50)/2 – (250+70)/2 = 100 – 160 nm

โครงสร้างเล็กบนปีกผีเสื้อ ขนาด 100-160 nm จึงมีขนาดใกล้เคียงกับ visible light ที่มี λ = 380-780 nm

นอกจากผลจาก visible light เรายังรู้ว่า Sun ให้แสงในช่วงที่ตามองไม่เห็น คือ UV และ Infrared

เราคุ้นเคยกับ UV ดีมากในช่วง COVID-19 เพราะต้องใช้ในการ Germicide

เราทราบว่า UV ประกอบด้วยช่วง λ ของ A, B และ C ( UV-C ไม่สามารถผ่านเข้ามาในชั้นบรรยากาศโลกได้ แต่เกิดจากแหล่งกำเนิดแสงสังเคราะห์ได้)

ทั้ง visible light (380-780 nm) และ UV- A, B (280-400 nm) ที่มีความยาวคลื่นที่มีผลต่อกัน (เพราะขนาดในช่วงที่ใกล้ และคาบเกี่ยวกัน) จึงสามารถเกิดการเลี้ยวเบน และ แทรกสอด (ตามคุณสมบัติของคลื่น) ได้ เมื่อตกกระทบ โครงสร้าง lamellae ขนาด 100-160 nm ภายในเกล็ด บนปีกผีเสื้อ

การแทรกสอด การเสริมแรงของคลื่นที่เฟสตรงกัน และ การหักล้างของคลื่นที่เฟสต่างกัน ของทั้ง visible และ UV-A,B จึงทำให้เกิด pattern ของคลื่นใหม่ สะท้อน, กระเจิง, หักเห เข้าตาเรา มองเห็นเป็นสีต่างๆ ที่เราไม่ค่อยเห็นบนวัตถุอื่น แบบที่พบบนปีกผีเสื้อ

นอกจากปีกผีเสื้อ การเกิดแสงเชิงโครงสร้างแบบนี้ ยังเกิดได้ในธรรมชาติ เช่น สีของปีกแมลงทับ, สีของขนนกยูง etc.

ด้วยความรู้เรื่องการเกิดสีเชิงโครงสร้าง จึงเป็นที่มาของการสร้าง Composite resin ที่จะให้ display ของสี ที่แปลก (เพราะ ไม่ได้เกิดจากการ add pigment เหมือนเดิม) ด้วยการใช้โครงสร้างในระดับ nano เป็นตัวทำให้เกิดสี

ใน Omnichroma จะใช้ Smart Chromatic Technology (สังเกตว่า เมื่อเจอคำว่า no added pigment ตอนนี้เราจะเข้าใจแล้วว่า ถ้าไม่ใช้ pigment จะเกิดสีได้ยังไง?)

Filler load อยู่ในระดับ ~ 70%

brand ที่ 2 คือ Charisma Topaz

ใช้วิธีพัฒนา matrix ที่มี TCD-urethane ซึ่งมีความ rigid เป็นแกนกลาง เพื่อลด shrinkage

ส่วนปลายอีกด้าน มีลักษณะเป็น spring ให้มี flex เพื่อลด stress

การเพิ่ม Urethane เข้ามาใน side chain เพื่อให้มีความไวในการทำปฏิกิริยา และมี degree of conversion ที่สูง

แสดง matrix ของ TCD-urethane ที่มี shrinkage < matrix ที่เป็น Bis-GMA เป็นหลัก

technology ของการเกิดสีที่ Topaz ใช้ คือ ค่า Refractive index ของ polymer (TCD-urethane matrix) จะมีค่าเท่าๆ กับ fillers ที่ใส่เข้าไป

แสดงว่า matching เมื่อ filling Cl I บนซี่ฟันปลอม

สังเกตว่า fiiller load ต่ำกว่า brand อื่น เพราะทำให้ filler และ matrix มี refractive index ใกล้เคียงกัน

ที่ผ่านไป คือ หลักการ และ เหตุผล ในการ Simplified shade ซึ่งก็คือ Color compatibility ในการทำ Shade matching ไปแล้ว

ต่อไปจะพูดถึง Color interaction

รูปในภาพ แสดงสีฟันธรรมชาติ ในบริเวณต่างๆ จะเห็นว่า ในฟันซี่เดียวกัน แต่ coronal 3rd, middle 3rd, cervical 3rd แต่ละส่วนมีสีต่างกัน

เมื่อมองในภาพรวม สีของทั้ง 3 part ที่ต่างกัน จะมีความกลมกลืนกัน เรียก มี Color blending

รูปแสดง ความสามารถในการกลืนสี (Color blending) และ ปิดสี (Masking) ของ Composite resin ในกลุ่ม Simplified shade หลายๆ brand ที่นำมาทดสอบ

วัสดุที่มี translucency มาก จะยิ่งมี Color blending ที่ดีมาก แปรผันตามกัน

( ค่า ΔE น้อย –> สีเข้ากันมาก)

แต่ขณะเดียวกัน

วัสดุที่ยิ่ง Opaque มาก ก็ยิ่งปิดสี background ได้ดี เรียกมี Color masking ability ที่ดี

( ค่า ΔE มาก –> สีต่างกันมาก แสดงถึง Masking ability ที่ไม่ดี)

เมื่อนำกราฟมา plot เข้าด้วยกัน จะเห็นจุดตัด ของ การ Blending สีได้ดี และ การ Masking background ได้ดี

และวัสดุที่ Blending ได้ดีสุด ก็จะ Masking ได้แย่สุด (and vice versa)

ดังนั้น ถ้าต้องการ Masking ability การเลือกใช้ Group Shade System จะได้เปรียบกว่า ( One shade system จะ Blending ได้ดี แต่ Masking ทำได้ไม่ดี)

รูปนี้ ผมถ่ายมาไม่ชัดครับ

เพียงแต่แสดงให้เห็น filling Cl IV

จะเห็นว่า 3M Filtek Easy Match (ตัวนึงใน Group shade system) จะให้ opaque ได้ดีกว่า

ขณะที่อีกตัวเป็นระบบ One shade (หลอดเดียว) จะใสกว่า และรูปสุดท้าย ขวามือสุด คือ ระบบหลอดเดียว แต่เพิ่ม Opaque เข้ามาครับ ความ opaque จะดีขึ้น

นั่นคือ ทำให้ Omnichroma ต้องออกตัว Blocker ออกมาเพิ่ม เพื่อใช้ร่วมกับ Omnichroma หลอดหลักเดิมครับ เพื่อปิดจุดอ่อนที่ translucency parameter ของตัวเองที่สูงมาก

สีของ Blocker จะ = A2 opaque

ส่วนของ Topaz ไม่ได้ออกตัวมาเพิ่ม opaque แต่ให้ใช้ Opaque dentin (ซึ่งมีอยู่แล้ว) ร่วมกับ Topaz เพื่อใช้แก้ความใสที่มากเกินไป

เรื่องสุดท้ายที่ ท่านอาจารย์พูดถึงคือ Color stability ครับ

ความหมายคือ เมื่อเลือกวัสดุที่ matching ได้แล้ว (Color compat ดี)

เลือกได้ให้ Blending & Masking ได้ดีแล้ว (Color interaction ดี)

สิ่งที่ต้องนึกถึงต่อไป คือ สีที่แสดงออกจะเปลี่ยนแปลงง่ายหรือไม่? เรียก Color stability

เช่น ฟันที่ filling เรียบร้อยแล้ว และต้องทำ Bleaching ในเวลาต่อมา

ผลการศึกษาของ paper นี้พบว่า ในกลุ่ม One Shade System ให้ Color stability ที่ดี แม้ฟันจะถูก Bleaching ในภายหลัง

ช่องทางติดต่อท่านอาจารย์ครับ

Part นี้ ไม่พบคำถามจาก floor

จบการบรรยายในภาคเช้า

หลังจากนั้น ผมพักเบรคกินข้าวกลางวัน แล้วกลับเลยครับ ไม่ได้ฟังต่อในภาคบ่าย จึงขอจบบทความเพียงเท่านี้ครับ