จาก iPhone มาสู่ ROG Phone

ปกติผมจะอยู่กับ Android ได้ไม่นานนักครับ จาก 6s Plus มา Xperia หรือล่าสุด P30 pro ได้ไม่นานเกิน 4 เดือน ก็มีอันต้องระเห็จกลับมาที่ iOS เป็นปกติ (ไม่นับรวม iPad ที่ใช้เป็นเครื่องหลักในการทำงาน)

แต่ในช่วงหลังตั้งแต่ 8 Plus ผมมีความคับข้องใจในการใช้งานมาก อดทนข้าม iPhone X และ Xs series จนมาถึง i11 และการมาถึงของ i12 เหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ร่วงมาบนหลังอูฐครับ

ความรู้สึกคือ Apple ปรับตัวช้ามากเรื่อง hardware และ iOS ด้วยตัวของมันเอง iOS 13 และ 14 ที่ได้ลองใช้ตั้งแต่ beta จนถึงตัวจริง release การมาถึงของ Home widgets ต่างๆ จนทำให้ UI ไม่เรียบง่ายอีกต่อไป พูดง่ายๆ คือ Apple เริ่มเยอะ

แต่การเปลี่ยนจาก iPhone ที่ลื่นไหลและคุ้นเคยเป็นโจทย์ที่ยากต่อการแก้ปัญหา ถ้าไม่มีสิ่งที่ดีมากๆ มาชดเชย

โจทย์ของผมคือ

1. โทรศัพท์ที่มีหน้าจอเต็ม ไม่มี notch, ไม่มี punch hole

2. Port การเชื่อมต่อหลักเป็น USB Type-C เพื่อให้ใช้สายการเชื่อมต่อแบบเดียวกับ iPad Pro เครื่องหลักได้

3. รองรับ 4G LTE A (3CA แบบ FDD) , 5G และ WiFi 6

4. หน้าจอมี Refresh rate มากกว่า 60 Hz (เป้าหมาย 120 Hz)

5. Biometrics ต้องมี Finger scanner เป็นอย่างน้อย (จะมี Face ID หรือไม่ก็ได้)

6. มี LED notification สำหรับ miss call, sms, Chat app ต่างๆ, Battery full charge etc.

(ข้อ 6 ถือว่า ยากสุดที่จะเจอใน Smart phone ปัจจุบัน ตัวสุดท้ายที่ผมได้ใช้คือ Mate 20 pro)

จนในที่สุด ก็เจอตัวที่มี requirement ครบทั้ง 6 ข้อ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องแลกมากับการปรับตัวหลายๆ อย่างซึ่งส่วนตัวยังมองว่า คุ้มกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ครับ

ข้อดีที่ได้รับจากการเปลี่ยน

1. การเชื่อมต่อ ทั้งความเร็วในการใช้งาน และเรื่องของ UI

เราไม่ต้องพูดถึง 5G เพราะการใช้งานจริงยังไม่ครอบคลุมพื้นที่มาก แต่ส่วนใหญ่ 4G LTE-A ยังใช้งานได้ speed ที่ดีมาก และ ครอบคลุมพื้นที่ได้จริงกว่า

โดยเฉพาะข้อได้เปรียบการจับสัญญาณ WiFi 6 (เมื่อชีวิตนั่งโต๊ะทำงาน เป็นส่วนใหญ่)

ลองเทียบกับ SE 2020 ที่มี spec 2×2 MIMO เหมือน ROG 3

จากรูป SE 2020 คือเครื่องทางซ้ายมือ

ถ้าสังเกตจะเห็นว่า ROG เกาะ Dual WiFi ได้ แต่ที่จริงไม่ค่อยมีผลครับ (คือ ถึง set ให้เกาะ Single WiFi ก็ได้ speed ไม่ค่อยต่างกัน)

Speed WiFi 6 ของ ROG 3 ทดสอบเฉลี่ย 3 ครั้ง (Operator 3BB package 1000/700)

การรับ GPS ใน indoor ที่เปิดเฉพาะ Cellular เป็นจุดอ่อนของ iPhone มาตลอด (ในรูปคือ 8 Plus นะครับ และใน 11 Pro ก็ยังเจอปัญหานี้อยู่ วิธีแก้คือ ต้องเปิดสัญญาณ WiFi ร่วมกับ Cellular ด้วย จึงจะจับ GPS ในร่มได้)

ในขณะที่ ROG 3 ทำได้สบายๆ ด้วย Cellular only

(ไม่ได้เปิด WiFi ช่วยนะครับ)

อีกปัญหาที่เป็นเรื่องเล็กมาก แต่รบกวนจิตใจพอสมควร คือ UI ของการ Turn off WiFi และ Bluetooth

Apple เริ่มทำให้การปิดสัญญาณ WiFi และ BT ยุ่งยากมากขึ้นตั้งแต่ iOS 11 จนถึงปัจจุบัน iOS 14 ครับ

ปกติ มันก็ควรจะเหมือน Android ครับ ปิดก็คือปิด

รูปแสดงการปิด WiFi ใน iPad ที่ลง iOS 10.xx

แต่หลังจาก iOS 11 การปิด WiFi แบบ turn off จริงๆ ต้องไปปิดใน Setting เท่านั้น

ถ้าปิดใน Control center จะเป็นการตัดการเชื่อมต่อเท่านั้น แต่ WiFi ของเครื่องยังเปิด Stand by อยู่

(จะอะไรกันนักหนา)

เปิด ก็คือ เปิด

ปิด ก็คือ ปิดจริงๆ แบบนี้ ทำได้ง่ายจาก Control center

2.ปัญหาหัวใจเรื่อง Battery health

เรื่อง Batt เป็นทั้ง drama ที่ discuss กันมายาวนาน และโดยเฉพาะการมาถึงของ function Battery Health ตั้งแต่ iOS 11.3 เป็นต้นมา

ดีที่สุดเท่าที่ Apple ให้ได้คือ การออก function Optimized Battery Charging ใน iOS 13

ในขณะที่ทุก Brand อัดระบบ Super fast charge แต่เราพบ function การชาร์จเครื่องแบบช้า และจำกัดปริมาณความจุของ batt ได้ใน ROG 3

ในรูป สามารถ set Full charge ที่ 80, 90 หรือ 100% ผม set ไว้ที่ 80%

ถ้าอยากใช้งานแบบถนอมแบตนะ หายคาใจแน่นอนครับ

Oppo เจ้าพ่อ SuperVOOC ก็ออกมายอมรับข้อเสียของการชาร์จแบบอัดประจุ

3. การใช้ Biometrics ในยุคโควิด และหลังโควิด

เหตุผลที่หนีจาก 11 Pro มา SE 2020 ไม่น่าเชื่อว่า หลักๆ คือ เรื่อง Face ID ครับ การมาถึงของ COVID-19 ทำให้ลำบากมาก เวลาปลด lock เครื่องเพื่อจ่ายเงิน

เรียกว่า ผมยอม downgrade Spec iPhone เพื่อให้ได้ใช้ Finger scan เท่านั้นเอง

การมาใช้ Android ขนาดหน้าจอใหญ่ ความจุแบตสูง และมี Finger scan ให้เลือกใช้ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก เราไม่จำเป็นต้องจับ mask ดึงเข้า-ออก จากใบหน้าอีกเลย ถ้าไม่จำเป็น เพราะเสี่ยงการปนเปื้อนไปที่มือตามความถี่ที่เราสัมผัสใบหน้า

คุณภาพการ Scan นิ้ว ถือว่าดีกว่า P30 pro ที่เคยใช้มากครับ ค่อนข้างแม่นยำพอๆกับ SE 2020 (ต้องใช้การปรับตัวตำแหน่งวางนิ้วพอสมควร วางบนปุ่ม Home vs ปุ่มเสมือนบนหน้าจอ Glass ให้ความรู้สึกต่างกัน)

นอกจากนี้เครื่องยังมี Smart lock mode ไว้เพื่อให้สะดวกต่อการปลด lock ยิ่งขึ้น (ผมไม่ได้ใช้ Face scan อีกแล้ว)

ที่นี้ลองมาดูว่า ใน requirement ทั้งหมดที่ได้มา เราต้องแลกกับอะไรบ้าง

1. อันนี้เป็นโจทย์ใหญ่สุด คือ การพกพาครับ ROG Phone 3 ถือเป็นโทรศัพท์ที่มีน้ำหนักและขนาดมากที่สุดเป็นลำดับต้นๆ ในชั่วโมงนี้

Smart phone เครื่องนี้หนัก 240 กรัม ครับ

เทียบง่ายๆ คือ ใหญ่และหนักกว่า iPhone 12 Pro Max ครับ

(แสดง dimension และ weight ของ i12 Pro Max)

2.การใช้งานร่วมกับระบบนิเวศของ Apple ทำได้ยากกว่าการใช้ iPhone มากๆ (ก ไก่ ร้อยตัว)

เชื่อมต่อกับ Macbook แบบใช้สายเท่านั้น

ตอนนี้เท่าที่หาทางได้ คือใช้ Open MTP

ใครที่ชินกับการใช้ Wireless สะกดคำว่า “ลำบาก” แน่นอนครับ

3.accessory พวกเคสที่หลากหลาย หายากครับ แต่ในฝั่งของเกมส์ มีเครื่องมือแปลกๆ ให้เล่นเยอะ แต่คงต้องเป็น Gamer ขนานแท้ และราคาค่อนข้างแพงครับ

ตัวอย่างเช่น

Mobile desktop dock

Twinview dock

4. คุณภาพของกล้องหลัง ยังตามหลัง Smart phone ระดับ Flagship ของ brand อื่น เช่น Huawei, Samsung, Xiaomi, Apple อยู่หลายช่วงตัวครับ

ผมให้เทียบเท่าระดับ Mid-range ของ brand ระดับแนวหน้าเท่านั้น

(DXOMARK น่าจะได้ประมาณ 102 คะแนนส่วนนี้ยังไม่ออก )

ตัวอย่างภาพจากกล้องหลัง

Auto

Night mode

Macro

Selfie

ณ ปัจจุบัน DXOMARK ของ ROG 3 ออกมาเพียง 2 รายการ

คือ คุณภาพลำโพง และ คุณภาพจอ

ลำโพงเป็นที่ 2 ร่วมกับ Huawei Mate 20 X (อันดับ 1 คือ Mi 10 pro)

ส่วนคุณภาพจอภาพอยู่ในระดับกลางๆ คือ score 70 (อันดับ 1 SSGN 20 U = 89 , ส่วนถ้าเทียบ i11 Pro Max = 84)

5. Dealer และศูนย์ Service ของ Asus ถือว่าเทียบกันไม่ได้เลยกับ Apple ครับ (Apple เป็นนางฟ้า, Asus เป็น …) แต่การซ่อมแซมและอะไหล่ หาได้จาก community ใน Facebook ครับ จัดว่า งานดีมากทั้ง hard และ software

โดยสรุปจาก iPhone มาสู่ ROG Phone ถือว่า Apple มีการพัฒนาด้าน Hardware ช้าอย่างไม่น่าเชื่อครับ จน Android phone Brand ต่างๆ พัฒนาขึ้นมาจนเข้าใกล้ (แน่นอนบางอย่างล้ำหน้าเกิน iPhone ไปหลายก้าว) ยกตัวอย่างเช่น คุณสมบัติของหน้าจอ, Biometrics รวมถึง software เฉพาะบางตัว เช่น Armoury Creat ของ Asus ที่ integrate ความสัมพันธ์ของ software เข้ากับ hardware ได้ดีมาก

แสดง app Armoury Creat แสดงผล อุณหภูมิของเครื่อง และ CPU&GPU ของ ROG Phone 3

แม้ Apple จะมีระบบนิเวศที่แข็งแกร่ง แต่การพัฒนาของ Android phone สำหรับ user (ที่เปิดใจยอมรับ) สำหรับหลายคน ยังทำให้รักเท่ากันไม่ได้ แต่ความหวั่นไหวนั้น มีแน่นอนไม่มากก็น้อย เท่าที่จะยอมเปิดใจใช้มันครับ

Ref:

1. https://www.support.com/how-to/how-to-turn-off-wifi-on-iphone-ipad-or-ipod-touch-12701

2. https://www.macthai.com/2018/04/03/ios-11-3-battery-health/

3. https://support.apple.com/en-us/HT210512

4. https://www.blognone.com/node/116289

5. https://www.asus.com/Phone/ROG-Phone-3/Tech-Specs/

6. https://www.apple.com/iphone-12-pro/specs/

7. https://openmtp.ganeshrvel.com

8. https://store.asus.com/us/item/202009AM300000001

9. https://rog.asus.com/Power-Protection-Gadgets/Docks-Dongles-and-Cables/ROG-TwinView-Dock-3-ZS661KSS-Model/

10. https://www.dxomark.com/asus-rog-phone-3-audio-review/

11. https://www.dxomark.com/asus-rog-phone-3-display-review-struggles-with-video/

12. https://www.facebook.com/groups/429030180967170/

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s