Category: Dental

Oper 2025 “หรือความเรียบง่ายคือความซับซ้อนขั้นสูงสุด?”

Oper 2025 “หรือความเรียบง่ายคือความซับซ้อนขั้นสูงสุด?”

งานประชุมจัดที่ โรงแรม Eastin Grand พญาไท ถือว่า location ดีมาก คือ มี skywalk เชื่อมจากตัว BTS พญาไท เดินเข้าตัวโรงแรมได้เลย (ไม่ต้องเดินลงพื้นก่อนจากตัวสถานีรถไฟฟ้า)

เดินเข้ามาในตัวโรงแรมเจอ After U ดักเป็นร้านแรก

ห้องประชุม ขึ้น lift ไปชั้น 6 จะมีหลายห้องย่อย เรียงกันตามแนวลึก (ซ้อนๆกัน) ถ้าเดินหาเองจะงง ควรถามน้องพนักงานที่ดูแลแถวนั้น จะดีสุด

ส่วนห้องอาหาร จะอยู่ชั้น 5 อาหารหลากหลาย ส่วนรสชาติผมให้ 7/10 แต่ service ของน้องๆ พนักงาน ถือว่า ดีมากๆ 10เต็ม ในการหาที่นั่ง และคอยดูแล ระหว่างกินข้าว คือ น้ำในแก้วพร่องไปครึ่งนึง เดินมาเติมแล้ว ไม่รู้แกเห็นได้ยังไง

มุมมองจากโต๊ะที่นั่งครับ

สิ่งที่เขียนต่อไปนี้ ผมไม่ได้ถอดจากเทปบันทึกเสียง หรือ vdo นะครับ แต่เขียนจากความเข้าใจโดยอาศัยความจำระยะสั้น ( 1วัน หลังประชุม ) และ lecture ที่จดมาครับ

ใช้เวลาเขียนบทความนี้ 1 วันเต็มๆ

ผมอยู่แค่ครึ่งเช้า เพราะรู้สึกไม่ค่อยสบาย ได้ lecture แบบนี้มา 4 หน้าครับ เวลาอ่านความถูกต้องของเนื้อหาที่ผมเขียนจะไม่ถูกต้อง 100% เป๊ะ ตาม lecture ที่ท่านอาจารย์สอนจริง

ดังนั้นควรทบทวนจากแหล่งข้อมูลอื่น เช่น paper ที่ ref อยู่ในแต่ละ slide หรืออาจซักถามท่านอาจารย์ผู้รู้ในจุดที่สงสัยนะครับ

จุดที่ให้สังเกตอีกอย่าง คือ ใน lecture จริง ท่านอาจารย์จะหลีกเลี่ยงการพูดชื่อ บริษัทผู้ผลิต เพราะเรื่อง conflict of interests แต่ในบทความนี้ ผมจะเขียนชื่อบริษัทผู้ผลิตของ products ไว้ด้วย เพื่อความเข้าใจครับ

การเขียนและเรียบเรียงตามความเข้าใจของผมเท่านั้น ถ้ามี error จะไม่เกี่ยวกับท่านอาจารย์ที่ lecture ครับ

กำหนดการของงานประชุม ครึ่งเช้า

ท่านอาจารย์ผู้บรรยาย และผู้สนับสนุน

เริ่มเรื่องแรก โดยรวม เป็นการจัดการ defect ในระดับ Enamel โดยไม่ใช้การ prep หรือ เป็นการใช้ Bonding system อีกรูปแบบนึง ที่ใช้กับ Enamel เท่านั้น (โดยไม่มี dentin เกี่ยวข้องครับ)

คือ การจัดการ White Spot lesion (WSL) โดยไม่ต้อง prep เลย (ไม่มี invasion เลย)

(ชื่อของมันคือ Spot แต่จริงๆ โดยส่วนตัว น่าจะเรียก Area มากกว่า)

Outlook ของ WSP

ตัวเลขนี้น่าจำ เป็นค่าดัชนีหักเหของแสง เมื่อกระทบ Sound enamel = 1.62

ใน WSL เห็นเป็นสีขาวขุ่น เพราะค่า < 1.62

การตรวจด้วยตา และ tactile sense

tactile sense ได้จาก blunt explorer นะครับ (คนละ concept กับ caries หรือ check ความแนบสนิทของ margin)

แสงจากเครื่องฉายแสง ก็ช่วยได้ คือ ใช้ส่องผ่านจากด้านหลัง

ก่อนตรวจให้เริ่มจากการ clean surface ที่ดีก่อน

แสดง TFI score จะเริ่ม cut point ที่ระหว่าง score 4 กับ 5 ครับ

หมายความว่า 0 –> 4 เรา Tx แบบไม่ invasive ได้

แต่ถ้าเริ่มที่ 5 หมายความว่า lesion เป็น cavity แล้ว ต้อง Tx แบบ invasive ปกติ

แสดง Guideline

มาถึงตรงนี้ การตรวจเจอ WSL ควรต้องดูภาพรวมของการตรวจฟันซี่อื่นในปากด้วย

เช่น เมื่อพบ WSL ใน incisor และตรวจเจอที่ molar ด้วย อาจเป็น MIH ทำให้การ Tx ต้องจัดการหลายซี่ไปพรัอมๆ กัน

แสดงการแบ่งความรุนแรงของ WSL ถ้าแยกขอบเขตได้ไม่ชัด หรือ lesion มีสีไปทาง yellow มากกว่าไปทาง white แสดงถึง severity เพิ่มขึ้น –> การรักษาก็จะ invasive มากขึ้นตามไปด้วย

แสดงเคสที่รุนแรงมากขึ้น

ข้อดีของ การตรวจด้วยการใช้เครื่องฉายแสงจากด้าน P และถ่ายรูปไว้ คือ เห็น lesion ได้ชัด และ สื่อสารกับ pt ให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น

WSLM (White spot lesion management)

สิ่งที่สำคัญอีกเรื่องคือ ถ้าเจอ risk factor จะป้องกัน recur ได้

การรักษาที่เริ่มแรกสุด คือ Remin

agent ตัวแรกที่ง่ายสุด คือ การใช้ F- จาก dentrifice

แต่ข้อควรระวังจากการใช้ F- คือ สมมติถ้าเราใช้ [ F- ] ที่สูงมาก อาจเกิด remin ได้เฉพาะบริเวณ surface เท่านั้น ( remin ได้ไม่ลึกพอถึง บริเวณ lesion จริงๆ)

ซึ่งพวก CPC จะเข้ามาแก้ปัญหานี้ เพราะมัน penetrate ไปได้ลึกกว่า F-

2 บรรทัดล่างสุด คือ Arg และ SAP เป็นสารกลุ่ม protein และ peptide ที่เข้ามาเป็น game changer จากการทำงานของมัน

peptide จะเป็นประจุ – ทำให้เข้าไปจับกับประจุ + ของ HA (Ca 2+) เกิดการ form Scaffold ซึ่งทำหน้าที่เหมือนเกิด enamel matrix ใหม่

(โดยส่วนตัว ผมมองว่า หลักการคล้าย Regenerative endodontic ที่จะใช้ Stem cell + Scaffold + Growth factor แต่กรณีของ WSLM จะต้องการเพียง Scaffold เท่านั้น)

ตัวนี้คือ SAP-P11-4

รูปแสดงการทดลองใน paper ว่า peptide สามารถทำให้เกิด enamel matrix ได้จริง

กลไกการทำงานของ SAP คือ ประจุ – ของมันจะจับกับ Ca ซึ่งเป็น ประจุ + ที่มีอยู่แล้วใน Ca10(PO4)6(OH)2 เกิด attractive force ให้เกิดการสะสม inorganic เพิ่มขึ้น เลียนแบบการทำงานของ enamel matrix ตอนที่สร้างฟัน

แสดงการทดสอบ SAP จริงในทาง clinic ด้วยการออกแบบการทดลองแบบ Splt mouth (คือใช้ control และ variable ในคนเดียวกัน เพื่อตัด confounder ( confounding variable = ตัวแปรกวน ) จากปัจจัยอื่นๆ ในการทดลอง)

กลุ่ม control ใช้ F- vanish วันที่ 90 แล้วใช้ซ้ำวันที่ 180

กลุ่มทดลอง เริ่ม SAP P11-4 ในวันแรก แล้วตามด้วย F- vanish วันที่ 90 และ 180

การเปลี่ยนแปลงของ WSL ที่เห็น

จะเห็นว่า ในกลุ่มที่ใช้ SAP P11-4 มีการลดลงของ WSL ได้มากกว่า (มองเห็นได้น้อยกว่า เมื่อเวลาผ่านไปนานขึ้น)

ผลการทดลองนี้ สอดคล้องกับ Systemic review ที่ไดัจาก paper อื่นๆ

คือ การใช้ SAP + F- ให้ผลต่อ WSLM ดีกว่า การใช้ F- เพียงอย่างเดียว

ส่วนในเคส ที่เจอเกิดจาก fix ortho การเข้าไปจัดการควรรอให้ lesion อยู่ในภาวะ stable ก่อน คือ ~ 6 เดือน หลังถอดเครื่องมือ

รูปแสดงหลังการ remin ทำให้ WSL ดีขึ้น แต่ยังหลงเหลือปัญหาเรื่อง esthetic

การเข้าไปจัดการปัญหานี้ ต่อจาก การใช้มาตรการ remin คือ การใช้ Bleaching

ทบทวน Bleaching

ในกลุ่มที่เราใช้อยู่ทั้ง in office และ home

การศึกษาพบว่า ใช้ Bleaching เป็น WSLM ได้เลย

หลัง Bleaching วันที่ 28 –> ฟันขาวขึ้น ~ 28%

และทำให้สีของ Sound enamel และ WSL เกิด blending กลืนกันได้มากขึ้น

วิธี Bleaching ที่ได้ผลคือ in office + home

แม้พบว่า หลัง Bleaching ไม่มีผลต่อ hardness ของผิว enamel

แต่พบว่า ที่ผิวมีการ loss Ca, PO4 ได้เล็กน้อย

ดังนั้น คำแนะนำคือ ให้ทำ remin อีกครั้ง after Bleaching

Case ที่ใช้ Bleaching เข้าไปทำ WSLM

(สีของรูปที่ผมถ่ายได้ ไม่ค่อย ok ไม่เห็นรายละเอียดครับ ให้ดูพอเป็น idea ใน slide จริง ของท่านอาจารย์ จะเห็นชัดกว่านี้)

เทียบ before & after

อีกเคสนึง pt มี dias ที่ต้องแก้ร่วมด้วย

Bleaching แก้ WSL ก่อน –> dias

ต่อจาก remin –> Bleaching –> คือ การทำ Resin infiltration

Resin infil จะเข้าไป fill ที่ Sub-surface enamel porous

จัดว่า invasive ขึ้น แต่ก็ยังเป็นวิธีที่ไม่ต้องใช้การ prep

หลักการ คือ เปิดทางด้วย กรด แล้ว check ทางที่กรดไปถึงด้วย ethanol จากนั้นทา resin ให้ infil เข้าไปถึงตำแหน่งที่ต้องการ

ด้วยความที่เป็นการจัดการกับ enamel ดังนั้นให้ลบภาพความเข้าใจของ DBS ออกไป

เพราะเราจะใช้ กรดที่แก่ขึ้น + เวลาที่ apply มากขึ้น + ไม่ต้องเถียงกันเรื่อง overwet, overdry (เพราะ ต้อง dry ในระดับที่ใช้ ethanol ไล่น้ำออกไป) + เวลาที่ให้ resin ทำงานก่อน light cure มากขึ้น

รูปแสดง WSL

แสดง การทำ resin infil ที่ผิด เพราะ กรด และ ethanol ไปไม่ถึง ความลึกของ WSL

รูปแสดงการทำงานที่ถูกต้อง คือ etching + ethanol ไปถึงชั้นลึกที่เราต้องการ

(ชั้นสีเขียว cover สีแดงทั้งหมด)

เมื่อ apply resin จึงสามารถ infil เข้าไปในตำแหน่งได้

indication ในการทำ คือ enamel ต้องยังไม่ cavitated

contra ของ resin infil ที่สำคัญมากคือ จะไม่ทำใน pt high caries index

ข้อดีของมัน (ท่านอาจารย์ ย้ำเรื่อง การสื่อสารกับ pt ถึงผลที่อาจจะไม่ได้ตามนั้น และ ค่าใช้จ่าย ถ้ายอมรับไม่ได้ ก็อาจจะใช้ filling แทนไปเลย)

เน้นมาก ต้องใช้ Rubber dam ทุกเคส

(ความเห็นของผม อย่าลืมว่า นี่คือ การทำงานกับ HCl ซึ่งเป็นกรดแก่ กรดแก่ 3 ตัว (จาก 6 ตัว) คือ กรดของธาตุในตารางธาตุหมู่ 7 มีข้อยกเว้นคือ HF ตัวเดียว ที่ไม่เป็นกรดแก่ เพราะค่า electronegativity ของ F- ที่ทำให้การแตกตัว H+ ทำได้ยากกว่า Cl, Br และ I)

รูปแสดง step ทั้งหมด

การทา ethanol เพื่อให้เรามองเห็นว่า etching พอหรือไม่?

คือ ถ้ายัง etch ไม่พอ เราจะยังมองเห็น WSL อยู่ครับ

ต้อง etching ซ้ำ

แล้ว check ด้วย ethanol ซ้ำ

จากรูป พบว่า เรามองไม่เห็นขอบเขตของ WSL แล้ว –> แสดงว่า etch ถึงชั้น lesion เป้าหมาย

ใส่ matrix เพื่อกันการเชื่อมติด

ทา resin

ทิ้งให้ resin infil แล้ว light cure

ทา resin ครั้งที่ 2

ทิ้งไว้ แล้ว light cure

after

รูป before & after

แสดงขั้นตอนอย่างละเอียด (อีกรอบ)

เมื่อมาดู detail กันที่ความลึกจาก etching ด้วย 15% HCl เป็นเวลา 2 min

จะกัดชั้น Sound enamel ที่ความลึก 0.9 – 2 μm

ขณะที่ชั้น WSL กัดที่ความลึก 92 μm

สรุปคือ ถึงจะใช้ 15% HCl นานถึง 2 min แต่ Sound enamel ไม่ได้รับผลกระทบ

รูปการทดลอง พบการเกิด resin tags เฉพาะบริเวณ WSL แต่ไม่พบในบริเวณ Sound enamel

Longevity ของการรักษาด้วย resin infil ในระยะสั้น คือ 1-3 ปี อยู่ในเกณฑ์ที่ดี

แต่ในระยะยาว พบ color stability ไม่ดี จากการติดสีเครื่องดื่ม เช่น coffee ได้ ซึ่งการแก้ไขได้ด้วยการ polishing

ต่อไปคือ หัวข้อที่ท่านอาจารย์รวบรวมมาให้ เป็นเรื่องของ timing ในการทำ resin infil เมื่อต้องทำร่วมกับหัตถการอื่น (ว่า ควรทำอะไรก่อน/หลัง)

เมื่อต้อง Bleaching อันนี้ค่อนข้างชัดว่า ต้อง Bleach ก่อน resin infil โดยรอ 2 wk เพื่อให้ free radical หมดก่อน แล้วจึงค่อยทำ resin infil

(หมายถึง ทั้ง vital bleaching ทั่วไป และ bleach กรณีที่แก้ไข WSL ด้วย)

แต่ถ้าเจอเคสที่ Pt ทำ resin infil มาเรียบร้อย แล้วต้องทำ vital bleach ต่อ ก็สามารถทำได้ครับ เพราะ free radical ก็ยังสามารถ penetrate เข้าไปทำงานกับ organic part ได้ (resin ไม่ได้ปิดที่ผิวทั้งหมด แต่ infiltrate เข้าไปแทรกในระหว่าง crystal ที่ถูก etch ในลักษณะของ pit & hole)

เอารูปมาให้ดูอีกครั้ง ลักษณะการ infil ของ resin ในชั้น enamel ที่เป็น porous

เทียบ timing ระหว่าง resin infil กับ Bleaching ถ้าทำ ก่อน/หลัง จะเห็นว่า ทำก่อน Bleaching ก็ได้ผลไม่เปลี่ยนแปลงในด้านการเปลี่ยนสีของฟัน

timing สำหรับ resin infil กับ การติดเครื่องมือ Ortho

การทำ resin infil ก่อน จะ effect bonding ของ Ortho ครับ แต่การทำหลังถอดเครื่องมือ จะมีผลคือ แก้ WSL ที่เกิดจาก bracket ได้

ใน pt Pedo แนะนำการทำ resin infil (หมายถึง ถ้ามี requirement จะต้องทำในเคสนั้นๆ) ควรอยู่ในช่วงที่ฟัน eruption ได้เต็มที่ก่อน

ช่วงอายุที่เหมาะ เริ่มต้นที่ 9 – 10 ขวบ

timing ต่อการ filling

เพราะ filling มีการ prep ถือว่า invasive กว่า resin infil จึงต้องทำ resin infil ก่อน แล้วจึงตามด้วย filling

อีกเรื่องที่ ท่านอาจารย์ไม่เน้นนัก เพียงแค่พูดถึง คือ Microabrasion

จะกำจัดผิว enamel ได้ถึงระดับ 200 μm

Microabrasion ทำให้ผิวฟันเรียบขึ้น จากการทำให้เกิด compacted prism-free enamel surface เพราะ กรด (stronger) และผงขัด (large particle abrasive) จะขจัดการเรียงตัวของ enamel rod ที่เดิมมีรูปร่างเป็น prismatic (key hole shape) ให้เรียงตัวเป็น ผลึก HA needle shape form โดยเรียง parallel กัน

คือ แทนที่จะเป็น enamel rods ต่อกันเป็นรังผึ้ง (หรือ key hole) Microabrasion จะขจัด form นี้ออกไป กลายเป็น uniform ของผลึกที่เรียงขนานกัน เกิด compated prism-free enamel surface ลักษณะที่เรียบ และ อัดแน่น จะต้านต่อ acid (bonding ยากขึ้น) และต้านการเกาะของ plaque

การใช้ กรดในชุด DBA + pumice ขัดด้วย slow speed handpiece ไม่ถือว่า เป็นการทำ Microabrasion

รูปเทียบระหว่าง การทำ resin infil กับ Microabrasion

พบว่า เมื่อเวลาผ่านไป สีของ resin infil จะ stable กว่า

และถ้าจะทำร่วมกัน จะทำ Microab –> resin infil

เรื่อง สุดท้าย Macroabrasion คือ มีการ prep ครับ ถือว่า หลุดจากขอบเขตของวิธี non-invasive ที่พูดกันมาทั้งหมดแล้ว

เพราะผิวฟันจะถูกกำจัดในระดับการ prep Veneer แล้ว (~ 0.5 mm)

เป็น slide สรุป การทำงาน โดยเฉพาะขั้นตอน การสื่อสารกับ pt

เช่น

-การ relapse ของสีที่ได้จาก Bleaching

-การเปลี่ยนสีของ resin infil จาก extrinsic stain

-ค่าใช้จ่ายในการทำงานระหว่างวิธี non-invasive กับการ filling

แสดงเคสทาง clinic ที่มี pattern ของการหายของ WSL แบบ Centripetal infiltration

(ผมเก็บได้เฉพาะ รูปก่อนทำ)

รูปแสดง การหายของ WSL ใน pattern ต่างๆ

เช่น หายจากตรงกลาง ออกไปทางขอบ (Centrifugal) หรือ จากขอบ เข้ามาตรงกลาง (Centripetal) etc.

ถ้าเจอรอยโรค ที่ negative ต่อ ขั้นตอน ethanol test เราสามารถเพิ่ม infiltration time ตอนทา resin ให้นาน > 3 นาทีได้ครับ

หมายความว่า ยิ่งเพิ่มเวลา การ infiltrate จะเข้าไปได้ดีมากขึ้น (แต่ถ้า positive ethanol test คือ มองไม่เห็นขอบเขต lesion แล้ว ไม่จำเป็นต้องเพิ่ม infiltration time)

ข้อควรระวัง การสื่อสารกับ pt (และ ผู้ปกครอง) และ ต้อง control OHI ให้ได้ก่อนเราจะเลือกแผนการรักษาแบบต่างๆ

ช่วง คำถามจาก floor

  1. ถ้าเจอ pt เราจะมีวิธีตรวจอย่างไร ว่า ฟันซี่ไหนที่ผ่านการทำ resin infil มาแล้วบ้าง ?

ตอบ ยังไม่มีวิธีตรวจด้วยเครื่องมือ ที่สามารถแยกความแตกต่างระหว่าง ฟันที่เคยผ่านการทำ resin infil vs ฟันปกติที่ยังไม่เคยทำมาก่อนได้ จึงแนะนำว่า ให้ทราบได้จากการ Hx ครับ

2. ในฟันที่เป็น abutment ของ prosthesis เช่น clasp ของ removable แล้วเกิด White lesion จาก demineralize เราสามารถทำ resin infil ในฟันเหล่านี้ได้หรือไม่?

ตอบ ทำได้เหมือนกัน ใช้หลักการและวิธีแบบเดียวกัน แต่ถ้ายังมีตะขอเกาะที่ตำแหน่งเดิม ก็เหมือนไม่ได้กำจัด risk factor ออกไปทั้งหมด สรุปคือ ทำได้เหมือนกัน

3. ในการทำ resin infil ในขั้นตอน การ etch –> ethanol test ถ้ายังเห็นว่า negative อยู่ เราสามารถทำซ้ำแบบวนไปเรื่อยๆได้กี่ครั้ง ?

ตอบ ที่เคยทำมา เคยทำสูงสุด 5 รอบซึ่งขั้นตอนแต่ละรอบจะกินเวลานานพอสมควร จน pt เกือบจะทนไม่ไหว (คือ ทำ 5 cycle ก็ถือว่า นานแล้ว) แต่เท่าที่หาได้จาก paper มีการ etch + ethanol test ได้ถึง 7 รอบ)

จบ lecture ของ part ที่ 1 ของช่วงเช้า

Lecture Part ที่ 2 โดยภาพรวม หลายคนอาจจะเคยได้ยิน หรือ ได้ใช้ Composite resin ตัวใหม่ ที่มีลักษณะ Universal shade มาแล้ว คือ technology ที่ทำให้ Composite 1 หลอด สามารถ matching ได้กับฟันธรรมชาติหลาย shade สี

(ในความเข้าใจของผม มีความรู้และประสบการณ์การใช้งาน Composite ในกลุ่มใหม่นี้ เป็น 0 คือ ยังไม่เคยใช้งานจริงเลยครับ ดังนั้น ส่วนที่ผมเรียบเรียงใน part นี้ ถ้าอ่านแล้วรู้สึกแปลกๆ ไม่ค่อยเข้าใจ ต้องขออภัยจริงๆ ในตอนท้ายท่านอาจารย์ผู้บรรยาย กรุณาให้ช่องทางติดต่อไว้ด้วย ดูแล้วอาจารย์น่าจะใจดีในการอธิบายข้อสงสัย ถ้าท่านผู้อ่านติดต่อไปนะครับ)

และ lecture เรื่องนี้จะทำให้เราสามารถเข้าใจ Composite resin กลุ่มใหม่นี้ ได้ลึกซึ้งขึ้น และเลือกใช้งานได้อย่างมั่นใจกว่าเดิม

หลักการของ Simplified shade คือ การจัดกลุ่มสีที่มีอยู่แล้ว ให้มีความเป็นกลุ่มหลักมากขึ้น (พูดอีกอย่างคือ แยกเป็นกลุ่มย่อยน้อยลงนั่นเอง)

เมื่อทำให้กลุ่มสีเหลือนัอยลง การเลือกสีก็จะง่ายขึ้น

แสดง Shade ต่างๆ ของ Composite resin ที่เรามีใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน ที่มีลักษณะเป็น Multishade composite resin

เรารู้ว่า ในฟันธรรมชาติ การส่องผ่านของแสง ผ่าน enamel ได้ 70% ผ่าน dentin ได้ 52%

ทำให้การสร้าง Composite resin ต้องเลียนแบบลักษณะการส่องผ่านของแสง ผ่านชั้นที่ยอมให้แสงผ่านได้ต่างกัน เป็นที่มาของ Multishade layering technic

แต่ความยากในการทำให้แสงผ่านได้ตามต้องการ คือ การควบคุมชั้นความหนาของวัสดุในชั้นต่างๆ

รูปแสดงความใส ของชั้นต่างๆ ของวัสดุในการยอมให้แสงผ่าน

ปัจจัยที่มีผลต่อ Shade matching

เช่น background สี black & white จะให้ความแม่นในการเทียบสีได้ดีกว่า

ข้อจำกัด ของ Operator

แสดง brand ของ Composite resin ที่มีการ Simplified shade

เราสามารถแยกประเภทของวัสดุพวกนี้ ได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่

คือ

กลุ่มที่ยังออกแบบให้มีหลายหลอด (เช่น 3 หลอด = 3 shade ในการทำงาน เช่น สีทึบ, สีปกติ, สีขาวขุ่น) เรียกกลุ่มนี้ว่า Group shade system

กลุ่มที่ออกแบบให้มีใช้งานเพียง 1 หลอดเท่านั้น เรียก One shade system

เพื่ออธิบายให้เห็นภาพ เราจะเริ่มจาก แผง Vita shade classic ที่คุ้นเคย จาก A1 –> D4

มีการหาค่า C value แล้วจัด group Vita shade

ค่าสี ในระบบ CIE L*a*b*

แกน Y แทน ค่าความสว่าง ตั้งแต่มืดสุดคือ 0 ไปจนถึงสว่างสุด คือ 100

แกน X แทน ค่า C แทน Chroma ยิ่งค่ามาก สีนั้นจะอิ่มตัวสูง

ได้กลุ่มใหม่เกิดขึ้น ตามรูป 5 กลุ่ม

วิธีการเลือก shade แบบนี้ ยังใช้ Vita shade ในการอ้างอิง

เช่น สมมติเราเลือกสีได้ B1 จะเลือกใช้ Composite หลอด A1 ในการ filling

แต่ ถ้าเราเลือกสีฟันได้ตรงกับ Vita C2 เราจะเทียบได้เท่ากับ สี Composite ในหลอด A3

รูปแสดง การ Simplified shade ในกลุ่มแรก คือ Composite resin ในกลุ่ม Group shade system ทั้ง 4 brand ที่มีในไทย

ส่วนใหญ่เป็นระบบ 3 หลอด คือ มี 3 shade ให้เลือกหยิบใช้

เริ่มกันที่ brand แรกสุดในกลุ่ม คือ NeoSpectra จาก Dentsply ครับ

NeoSpectra มีการจัดกลุ่ม เป็น A1, A2, A3, A3.5, A4 อิงตาม Vita shade classic ตามรูป (คือ แถวบนสุด NeoSpectra ST Universal Cloud shade)

shade หลักของ brand นี้ จึงมี 5 หลอดครับ

ได้การใช้งานออกมาเป็นแบบนี้ครับ

ถึงจะใช้ Universal shade (A1,A2,A3,A3.5,A4) เป็นหลัก แต่เพราะ translucency ของ shade หลัก ยังไม่พอ ถ้าเจอ background ที่เข้มผิดปกติ

จึงมีการเพิ่ม shade พิเศษ เพื่อปิดสี background เป็น Opaque และ shade ใส

ประกอบด้วย Opaque dentin shade สี D1 (เหลือง) กับ D3 (เหลืองเข้ม) –> 2 หลอด

Translucent Enamel shade สี E1 (เขียว) –> 1 หลอด

technology ที่ NeoSpetra ST ใช้คือ Sphere TEC fillers

Filler load ~ 60% และ ทำให้เกิด chameleon effect

เป็น brand ที่ยังอ้างอิง Vita shade และยังต้องใช้งานโดยมี Shade key เป็นของตัวเอง (Shade key ที่ใช้คือ A1–> A4 + D1,D3 + E1)

brand ที่ 2 คือ Simplishade ของ Kerr

Simplishade จัดกลุ่มสีแบบใหม่เป็น light, medium, dark

คือ ยังมีการอิง Vita shade อยู่ครับ แต่เมื่อ grouping สีใหม่แล้ว ทำให้ง่ายขึ้น

เช่น สมมติเทียบสีฟันจาก Vita ได้ D4 ก็เลือก Simplishade สี medium ใช้ได้เลย ตามรูป

ปริมาณ fiiler load 66% และใช้ technology ART ในการ blending สี

และ ถึงจะมี 3 shade หลักให้เลือกใช้ แต่จากข้อจำกัดของ monotranslucency ทำให้ต้องมี shade พิเศษ เพิ่มขึ้นมา คือ

Universal opaque เพื่อปิดสี background ที่เข้มเกินไป

Bleaching white เพื่อใช้กับฟัน bleaching มาแล้ว เพิ่มขึ้นมาเป็น shade พิเศษโดยเฉพาะ

brand นี้จึงใช้ สีหลัก 3 หลอด + สีพิเศษ 2 หลอด

brand ที่ 3 คือ Clearfil Majesty ES2 จาก Kuraray

เป็นระบบ 3 หลอด คือ

UL (Universal Light), U , UD (Universal Dark)

และด้วยข้อจำกัดของ monotranslucency จึงต้องออกสีพิเศษ คือ UW (Universal White) เช่นกัน

ปริมาณ filler load ตรงนี้น่าจะเดาปริมาณกันได้ค่อนข้างใกล้เคียงแล้ว และใช้ tecnology ชื่อ LDT

brand ที่ 4 เป็นของ 3M

Filtek Easy Match โดยพื้นฐานพัฒนามาจาก Z 350

การ Simplified shade ของตัวนี้ หลุดพ้นจาก Vita shade ไปแล้วครับ

จัดกลุ่มสีเป็น 3 group คือ

Bright, Natural, Warm

ที่มาของการจัดกลุ่มสีแบบนี้ เพราะ 3M ใช้วิธีทดสอบให้ dentist ดูรูปฟัน 3 รูปด้านล่างนี้ แล้วให้เลือกกลุ่มสี

ผลของการ survey คือ ผู้ถูกทดสอบ สามารถจัดกลุ่มได้ตามผล bar graph ได้ด้วยการมองเพียงอย่างเดียว

ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้ทั้ง Vita shade และ Shade key อีกต่อไป

ความหมายคือ

1.ไม่ต้องเทียบสีฟันด้วย Vita

2.มองเห็นฟันด้วยสามารถ แล้วสรุปได้เลย ว่า สีปกติ สีเข้ม สีอ่อน โดยไม่ต้องใช้ Shade key

ปริมาณ filler load และ ใช้ Naturally-Adaptive Opacity technology

slide สรุป ทั้ง 4 brand ที่ใช้ Group Shade System (4 brand นี้ มีขายในไทย)

ทบทวน สิ่งที่ผ่านมาทั้งหมดใน Group shade system ทำให้เราสรุปได้เป็นรูปนี้ คือ

จากรูป แถวบนสุด คือ Shade selection แบบมาตรฐาน กระบวนการเลือก เหมือนการเลือกสี Porcelain เวลาเราทำชิ้นงานใดๆ

Shade selection แถวกลาง คือ Group Shade System brand ที่ยังอิง Vita shade และสร้าง Shade key ใหม่ของตัวเอง ในการ matching

และ แถวสุดท้าย คือ Group Shade System brand ที่ใช้การมองที่ฟัน แล้ว matching ได้เลย โดยไม่ต้องใช้ Vita อ้างอิงอีกต่อไป และ ยังไม่ต้องใช้ Shade key ของบริษัทผู้ผลิต อีกด้วย

และต่อไปนี้ จะพูดถึง Composite resin ในกลุ่มสุดท้าย คือ ไม่ต้องใช้ Shade selection อีกต่อไป เพราะ มีเพียงหลอดเดียว เพื่อใช้กับฟันทุก shade

นั่นคือ Composite resin ในกลุ่ม One shade system

brand ที่ขายในบ้านเราของระบบหลอดเดียว มีทั้งหมด 3 brand

คือ Omnichroma, Charisma Topaz, AUNO

(ตัวสุดท้าย คือ AUNO มีข้อมูลทาง technic จากบริษัทผู้ผลิตน้อยมาก)

จะรู้จักวิธีการพัฒนาการเกิดสีของกลุ่มนี้ ต้องทราบแนวคิดพื้นฐานก่อน

จากมุมมองการเกิดสี สีเกิดได้จาก 2 แนวทาง คือ

  1. การเกิดสีทางเคมี เกิดจาก pigment molecule ที่เติมเข้าไป (หรือมีอยู่เดิมแล้วในธรรมชาติ) เช่น สีเขียวในพืช จาก Chlorophyll ที่ดูดกลืน ทุกความยาวคลื่นในช่วง visible light ยกเว้น λ ของแสงสีเขียวที่ไม่ถูกดูดกลืน จึงเกิดการสะทัอน, กระเจิง, หักเห เข้าตาเรา ทำให้เห็นเป็น ใบไม้สีเขียว

รูปนี้แสดง ข้อจำกัดของการเกิดสีจาก pigment คือ เมื่อแสงจากแหล่งกำเนิด ตกกระทบวัตถุ การแสดงออกของสีจะเกิดตาม pigment ที่เติมเข้าไป ดังนั้นการ matching เมื่อวัตถุที่มี pigment ต่างกัน มาอยู่ด้วยกัน จึงทำได้ไม่ดี

2. การเกิดสีจากโครงสร้างของวัตถุ เรียก การเกิดสีด้วยวิธีนี้ว่า “การเกิดสีเชิงโครงสร้าง” การเกิดสีแบบนี้ เกิดขึ้นจริงในธรรมชาติ

เราทราบว่า แสงเป็น EMW (คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า) ซึ่ง 1 ในคุณสมบัติที่สำคัญของ wave คือ การเกิดการแทรกสอดได้

รูปแสดง การเกิดสีที่เรามองเห็นของ ปีกผีเสื้อ

เมื่อเราดูภาพขยายของพื้นผิวปีกผีเสื้อ จะพบการเรียงตัวเป็นชั้นๆ ที่มีขนาดเล็กมาก คือ เล็กในระดับ nano (10^ -9 m)

เราทราบว่า แสงที่เรามองเห็นจะอยู่ในช่วงความยาวคลื่นของ visible light = 400-700 nm (ตัวเลขที่ accurate กว่าคือ 380-780 nm)

ดังนั้นพื้นผิวของวัตถุใดๆ ที่มี scale ในระดับความหนาของชั้นโครงสร้างขนาด 100-200 nm จะมีผลต่อ visible light ได้

ปีกผีเสื้อ มีโครงสร้างเล็กๆ เรียก เกล็ด (scale) แต่ละเกล็ดมีขนาด 100-150 μm

ภายในแต่ละ เกล็ด จะมีโครงสร้างระดับ nano เรียก lamellae (ridge-valley pattern) ดังที่แสดงในรูป

ช่องว่างระหว่างชั้น ขนาด 150-250 nm

ความกว้างของแต่ละ ridge = 50-70 nm

นั่นคือ ถ้าคิดเป็นค่าเฉลี่ย ความหนาแต่ละชั้นที่ซ้อนกันอยู่ในเกล็ด = (150+50)/2 – (250+70)/2 = 100 – 160 nm

โครงสร้างเล็กบนปีกผีเสื้อ ขนาด 100-160 nm จึงมีขนาดใกล้เคียงกับ visible light ที่มี λ = 380-780 nm

นอกจากผลจาก visible light เรายังรู้ว่า Sun ให้แสงในช่วงที่ตามองไม่เห็น คือ UV และ Infrared

เราคุ้นเคยกับ UV ดีมากในช่วง COVID-19 เพราะต้องใช้ในการ Germicide

เราทราบว่า UV ประกอบด้วยช่วง λ ของ A, B และ C ( UV-C ไม่สามารถผ่านเข้ามาในชั้นบรรยากาศโลกได้ แต่เกิดจากแหล่งกำเนิดแสงสังเคราะห์ได้)

ทั้ง visible light (380-780 nm) และ UV- A, B (280-400 nm) ที่มีความยาวคลื่นที่มีผลต่อกัน (เพราะขนาดในช่วงที่ใกล้ และคาบเกี่ยวกัน) จึงสามารถเกิดการเลี้ยวเบน และ แทรกสอด (ตามคุณสมบัติของคลื่น) ได้ เมื่อตกกระทบ โครงสร้าง lamellae ขนาด 100-160 nm ภายในเกล็ด บนปีกผีเสื้อ

การแทรกสอด การเสริมแรงของคลื่นที่เฟสตรงกัน และ การหักล้างของคลื่นที่เฟสต่างกัน ของทั้ง visible และ UV-A,B จึงทำให้เกิด pattern ของคลื่นใหม่ สะท้อน, กระเจิง, หักเห เข้าตาเรา มองเห็นเป็นสีต่างๆ ที่เราไม่ค่อยเห็นบนวัตถุอื่น แบบที่พบบนปีกผีเสื้อ

นอกจากปีกผีเสื้อ การเกิดแสงเชิงโครงสร้างแบบนี้ ยังเกิดได้ในธรรมชาติ เช่น สีของปีกแมลงทับ, สีของขนนกยูง etc.

ด้วยความรู้เรื่องการเกิดสีเชิงโครงสร้าง จึงเป็นที่มาของการสร้าง Composite resin ที่จะให้ display ของสี ที่แปลก (เพราะ ไม่ได้เกิดจากการ add pigment เหมือนเดิม) ด้วยการใช้โครงสร้างในระดับ nano เป็นตัวทำให้เกิดสี

ใน Omnichroma จะใช้ Smart Chromatic Technology (สังเกตว่า เมื่อเจอคำว่า no added pigment ตอนนี้เราจะเข้าใจแล้วว่า ถ้าไม่ใช้ pigment จะเกิดสีได้ยังไง?)

Filler load อยู่ในระดับ ~ 70%

brand ที่ 2 คือ Charisma Topaz

ใช้วิธีพัฒนา matrix ที่มี TCD-urethane ซึ่งมีความ rigid เป็นแกนกลาง เพื่อลด shrinkage

ส่วนปลายอีกด้าน มีลักษณะเป็น spring ให้มี flex เพื่อลด stress

การเพิ่ม Urethane เข้ามาใน side chain เพื่อให้มีความไวในการทำปฏิกิริยา และมี degree of conversion ที่สูง

แสดง matrix ของ TCD-urethane ที่มี shrinkage < matrix ที่เป็น Bis-GMA เป็นหลัก

technology ของการเกิดสีที่ Topaz ใช้ คือ ค่า Refractive index ของ polymer (TCD-urethane matrix) จะมีค่าเท่าๆ กับ fillers ที่ใส่เข้าไป

แสดงว่า matching เมื่อ filling Cl I บนซี่ฟันปลอม

สังเกตว่า fiiller load ต่ำกว่า brand อื่น เพราะทำให้ filler และ matrix มี refractive index ใกล้เคียงกัน

ที่ผ่านไป คือ หลักการ และ เหตุผล ในการ Simplified shade ซึ่งก็คือ Color compatibility ในการทำ Shade matching ไปแล้ว

ต่อไปจะพูดถึง Color interaction

รูปในภาพ แสดงสีฟันธรรมชาติ ในบริเวณต่างๆ จะเห็นว่า ในฟันซี่เดียวกัน แต่ coronal 3rd, middle 3rd, cervical 3rd แต่ละส่วนมีสีต่างกัน

เมื่อมองในภาพรวม สีของทั้ง 3 part ที่ต่างกัน จะมีความกลมกลืนกัน เรียก มี Color blending

รูปแสดง ความสามารถในการกลืนสี (Color blending) และ ปิดสี (Masking) ของ Composite resin ในกลุ่ม Simplified shade หลายๆ brand ที่นำมาทดสอบ

วัสดุที่มี translucency มาก จะยิ่งมี Color blending ที่ดีมาก แปรผันตามกัน

( ค่า ΔE น้อย –> สีเข้ากันมาก)

แต่ขณะเดียวกัน

วัสดุที่ยิ่ง Opaque มาก ก็ยิ่งปิดสี background ได้ดี เรียกมี Color masking ability ที่ดี

( ค่า ΔE มาก –> สีต่างกันมาก แสดงถึง Masking ability ที่ไม่ดี)

เมื่อนำกราฟมา plot เข้าด้วยกัน จะเห็นจุดตัด ของ การ Blending สีได้ดี และ การ Masking background ได้ดี

และวัสดุที่ Blending ได้ดีสุด ก็จะ Masking ได้แย่สุด (and vice versa)

ดังนั้น ถ้าต้องการ Masking ability การเลือกใช้ Group Shade System จะได้เปรียบกว่า ( One shade system จะ Blending ได้ดี แต่ Masking ทำได้ไม่ดี)

รูปนี้ ผมถ่ายมาไม่ชัดครับ

เพียงแต่แสดงให้เห็น filling Cl IV

จะเห็นว่า 3M Filtek Easy Match (ตัวนึงใน Group shade system) จะให้ opaque ได้ดีกว่า

ขณะที่อีกตัวเป็นระบบ One shade (หลอดเดียว) จะใสกว่า และรูปสุดท้าย ขวามือสุด คือ ระบบหลอดเดียว แต่เพิ่ม Opaque เข้ามาครับ ความ opaque จะดีขึ้น

นั่นคือ ทำให้ Omnichroma ต้องออกตัว Blocker ออกมาเพิ่ม เพื่อใช้ร่วมกับ Omnichroma หลอดหลักเดิมครับ เพื่อปิดจุดอ่อนที่ translucency parameter ของตัวเองที่สูงมาก

สีของ Blocker จะ = A2 opaque

ส่วนของ Topaz ไม่ได้ออกตัวมาเพิ่ม opaque แต่ให้ใช้ Opaque dentin (ซึ่งมีอยู่แล้ว) ร่วมกับ Topaz เพื่อใช้แก้ความใสที่มากเกินไป

เรื่องสุดท้ายที่ ท่านอาจารย์พูดถึงคือ Color stability ครับ

ความหมายคือ เมื่อเลือกวัสดุที่ matching ได้แล้ว (Color compat ดี)

เลือกได้ให้ Blending & Masking ได้ดีแล้ว (Color interaction ดี)

สิ่งที่ต้องนึกถึงต่อไป คือ สีที่แสดงออกจะเปลี่ยนแปลงง่ายหรือไม่? เรียก Color stability

เช่น ฟันที่ filling เรียบร้อยแล้ว และต้องทำ Bleaching ในเวลาต่อมา

ผลการศึกษาของ paper นี้พบว่า ในกลุ่ม One Shade System ให้ Color stability ที่ดี แม้ฟันจะถูก Bleaching ในภายหลัง

ช่องทางติดต่อท่านอาจารย์ครับ

Part นี้ ไม่พบคำถามจาก floor

จบการบรรยายในภาคเช้า

หลังจากนั้น ผมพักเบรคกินข้าวกลางวัน แล้วกลับเลยครับ ไม่ได้ฟังต่อในภาคบ่าย จึงขอจบบทความเพียงเท่านี้ครับ

ครบรอบ 21ปี ภาพยนตร์ เรื่อง โหมโรง ( The Overture )

เขียนไว้เนื่องในโอกาสครบรอบ 2 ทศวรรษ ของภาพยนตร์เรื่องนี้ และ เพื่อเป็นการรำลึกถึงเพื่อนสนิทท่านหนึ่ง

โหมโรง เป็นภาพยนตร์ไทย ฉายในปี พ.ศ. 2547 สภาพสังคมไทยในช่วงนั้น internet เริ่มมีความแพร่หลายแล้ว เป็นช่วงที่ internet cafe เจริญจนถึงขีดสุด ส่วน internet ตามบ้านพักอาศัย ยังอยู่ในระดับที่กำลังเติบโต

เราใช้ Modem 56k ในการต่อ net บ้าน

วิธีการต่อ คือ ใช้สายโทรศัพท์บ้าน เป็นตัวเชื่อมต่อไปยังผู้ให้บริการ internet (เป็น Modem แบบ analog) ความเร็ว net ที่ได้ เต็มที่ = 56/33.6 kb/s (Upload/Download)

และยังไม่มี Social app แบบ Facebook, Youtube, Tiktok

เครือข่ายทางสังคมใน internet นิยมใช้กระดาน Webboard เพื่อเชื่อมต่อกัน

หนังเรื่อง โหมโรง ตอนที่ฉายใน wk แรก ทำรายได้ได้น้อยมาก แต่คนที่ได้ไปดูหนังเรื่องนี้ แล้วชอบมีจำนวนมาก จนเกิดกระแสใน Webbord ดังๆ เช่น Pantip แล้วลุกลามไปเรื่อยๆ จนถึง สื่อมวลชนหลักๆ ทั้ง TV, สถานีวิทยุ FM และ หนังสือพิมพ์

ผู้กำกับหนังเรื่องนี้ คือ คุณ อิทธิสุนทร วิชัยลักษณ์

ในปี 2547 เป็นช่วงที่ ผมได้ลงมาทำ คลินิกแบบ Full time เป็นช่วงแรกของการทำงานทันตแพทย์ และได้ทำงานกับเพื่อนสนิทที่เรียนมาด้วยกัน เป็นช่วงชีวิตที่มีความสุข และ เต็มไปด้วย พลังและความคิดเยอะมาก

หลังจากกระแส โหมโรง จุดติด จึงได้มีโอกาสไปดูแลัวก็ “ชอบมาก”

ในตอนนั้น วงการทันตแพทย์ เชื่อมต่อกันด้วยกระดาน Webboard หลายเวบ และ กระดานที่ดังที่สุดตอนนั้น คือ Satabun.com ที่มี admin คือ ท่านอาจารย์ สม สุจิรา

แสดงหน้าแรกของ Satabun.com

กระดาน Webbord ของ Stabun.com นอกจาก admin จะสร้างห้องพูดคุยสำหรับทันตแพทย์ในแต่ละรุ่น แต่ละมหาวิทยาลัยที่จบออกมา (เทียบได้กับ Facebook group ในตอนนี้)

ก็ยังมี ห้องที่พูดคุยกันเรื่องทั่วไป เรื่องงาน เรื่องปัญหาทางวิชาการ ซึ่งมีท่านอาจารย์ในคณะ ของ ม ต่างๆ เข้ามาพูดคุยกันเยอะมาก

แต่เนื่องจาก ยังไม่มีระบบ log in สมาชิก เนื่องจาก admin ผู้สร้างเวบ จะคิดว่า จะมีคนเข้ามาใช้เยอะขนาดนี้ ถ้าจะทำระบบ log in สมาชิกใหม่ ฐานข้อมูลเดิมต้องทิ้งทั้งหมด พูดง่ายๆ คือ เหมือนสร้างเวบใหม่ ทำให้กระทู้เก่าๆ ต้องหายไป เลยเป็นการเล่นกัน โดยไม่มี log in

สมาชิกที่เข้ามาคุยเหมือน Anonymous แต่อาศัยใช้ชื่อเดิมๆ ในการคุยโดยอาศัยความเชื่อใจกัน เพราะสมาชิกจำนวนมาก มักจะเข้าไปคุยกันใน ห้องของรุ่นตัวเองเท่านั้น

และ ผมใช้ “dr.mai” เป็น log in

ย้อนกลับมาที่ ผมกับเพื่อน หลังจากได้กลับไปดูเรื่อง โหมโรง มาเรียบร้อย

เรากลับมา discuss กันเรื่องนี้อย่างกว้างขวาง (คือ คุยกัน 2 คน นี่หละครับ)

ผมเกิดความคิดขึ้นมา อยากให้ ทันตแพทย์มีเรื่องราวในแบบ โหมโรง บ้าง

โดยย่อ โหมโรง คล้ายเป็นเรื่อง Βiography ของ ท่านหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ซึ่งมีชิวิตในช่วง รัชกาลที่ 5 – รัชกาลที่ 9 แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ Biography ซะทีเดียวครับ

ต้องเรียกว่า อาศัยแรงบันดาลใจ จาก Biography ของท่าน หลวงประดิษฐ์ไพเราะ มากกว่า

หนังกล่าวถึง ประวัติของท่านในช่วงต้น ตั้งแต่เด็ก จนโต ในช่วงนี้จะสนุกมาก เพราะได้เห็นความเป็นอยู่ของคนสยามในสมัยก่อน และ การประชันระนาดของดนตรีไทย

พระเอกในเรื่อง คือ ศร เป็นคนที่มี Gift ในด้านนี้ และได้รับการฝึกฝนมาดีมากๆ

แต่ plot คล้ายๆ หนังจีนกำลังภายใน คือ เจอคู่ต่อสู้ที่เก่งกว่า และ พบความพ่ายแพ้

จนต้องไปฝีกวิชาระนาด ทำให้ค้นพบ ทางระนาดแบบใหม่ ที่ไม่เคยมีผู้ใดตีได้แบบนี้มาก่อน และประชันกันอีกครั้ง ก่อนจะชนะได้ ในที่สุด

แต่ peak ของเรื่องคือ หลังจาก ศร อายุมากขึ้น รับราชการก้าวหน้า จนในช่วงท้ายๆ ของชีวิต ซึ่งตรงกับในช่วง ปฏิวัติวัฒนธรรมไทย สมัยที่ จอมพล ป พิบูลสงคราม เป็น นายกรัฐมนตรี ซึ่ง 1 ในการปฏิวัติวัฒนธรรม คือ ดนตรีไทย ซึ่ง ท่านผู้นำ มองว่า เป็นพวก conservetive โบราณ ไม่นำสมัยเหมือน ดนตรีจากตะวันตก ที่กำลังเข้ามา

ราชการจึงพยายาม “จำกัด” การเล่นดนตรีไทย อย่างเข้มงวด (ถ้าตรงกับ สมัยนี้ คือ มีการควบคุมสื่อ นั่นเองครับ)

การปฏิวัติดนตรีไทยในช่วงนี้ ทำให้วงการดนตรีไทยได้รับความลำบากมาก ครูดนตรีไทย และนักตนตรีเก่งๆ ต้องตกงาน ไม่มีงานออก ไม่มีรายได้ ลำบากกันทั่วหน้า

โหมโรง จบลงตรงที่ จะสื่อว่า ไม่ว่าจะยากลำบากอย่างไร ก็อย่าลืมรากเหง้า ( DNA ของความเป็นไทย) ในกรณีนี้ คือ ดนตรีไทย

plot เรื่องของผม โดยอาศัย โหมโรง เป็นเค้าโครง

ในสมัยที่ทันตแพทย์ใช้วัสดุพิมพ์ปาก Elastomer กันอย่างแพร่หลาย (Elastomer คือ Polymer ที่มี chain ยาวมาก มีโมเลกุลใหญ่ เรียก มหโมเลกุล) จนมาวันนึง บริษัทผู้ผลิตใน US ได้มีการจำกัดการผลิต และ ค่อยๆ ลดการผลิตวัสดุชนิดนี้ลง ทำให้การนำเข้า material นี้หยุดลง

ทันตแพทย์ในไทย ได้รับความเดือดร้อนมาก เพราะไม่สามารถทำงาน fix pros ได้เลย

(ตรงนี้ เพื่อนผม ถามว่า ทำไมต้องเป็นวัสดุพิมพ์ปาก?

ผมตอบว่า ในเรื่อง โหมโรง กล่าวถึง หลวงประดิษฐ์ไพเราะ ทำให้หลังจากดูแล้ว ทำให้ผมนึกถึง ท่านอาจารย์ยาหยีศรีเฉลิม ศิลปบรรเลง อดีตอาจารย์ภาควิชาทันตกรรมประดิษฐ์  มหิดล

โดยส่วนตัว ผมไม่เคยเรียนกับท่าน ได้เพียงอ่านหนังสือ เลยรู้สึกว่า ท่านเก่ง และมี experience ในการทำฟันปลอมมาก เลยนึกถึง วัสดุพิมพ์ปากขึ้นมาเฉยๆ

และ ปืน Silicone มันถือได้คล้าย ไม้ตีระนาดสุด )

หลังจาก ทันตแพทย์ไม่มี Elastomer impression material ใช้งาน

ทันตแพทย์ รชต ( รัด-ชะ-ตะ) เหมือน ศร ในเรื่อง โหมโรง ก็ฝึกการใช้ทักษะพิเศษ เรื่อง การมอง โดยพัฒนาเครื่องมือ ที่ใช้การมองวัตถุ เพื่อจำลักษณะต่างๆ และ copy แบบนั้นขึ้นมา โดยไม่ต้องใช้วัสดุพิมพ์แบบ แบบเดิม ทำให้การทำฟันปลอมกลับมาทำได้ตามปกติ โดยไม่ต้องใช้ Elastomer impression material อีกต่อไป “

หลังจากได้ plot จึงเป็นที่มาของภาพนี้ โดยใช้กล้องใหญ่ของเพื่อนเป็นคนถ่าย โดยผมเป็นแบบ และ ทำขึ้นที่ คลินิก ที่เราทำงานอยู่ ในช่วงหลังเลิกงาน และ เพื่อนเป็นคนแต่งรูป โดยใช้โปรแกรม Photoshop จนออกมาเป็นรูปนี้

และโพส เรื่องและรูปนี้ เป็น 1 กระทู้ ลง Satabun.com

มาถึงวันนี้ สิ่งนึงที่ไม่น่าเชื่อ คือ ผ่านมา 20 ปี เรื่องใน plot อาจจะเกิดขึ้นจริง จากการมาถึงของ Scanner 3D ซึ่งเข้ามาทดแทน Impression material, Plaster, Wax

แบบที่เคยเล่า ในเรื่องนี้ครับ

ใน Dent mat ปัจจุบัน อย่างน้อยสิ่งที่เกิดขึ้นกับ วัสดุพิมพ์ปาก ก็เกิดขึ้นแล้ว ใกล้เคียงใน plot เมื่อ 20 ปีที่แล้วครับ

ref:

  1. https://readthecloud.co/the-overture/
  2. https://routerconnection.blogspot.com/2010/09/modem-56k-router.html
  3. https://web.archive.org/web/20060205140218/http://satabun.com/
  4. https://th.wikipedia.org/wiki/หลวงประดิษฐไพเราะ_(ศร_ศิลปบรรเลง)
  5. https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1561276174040108&id=773817159452684&set=a.773843676116699
  6. https://protectordent.com/products/dispenser-gun-kit-50ml-dental-impression-material-dispensing-guns-solid-epoxy-gun-1-1-1-2-for-dispense-dental-resin-materials-adhesive-and-glue
  7. https://dentdiary.com/2023/01/02/หากว่าน้อยไป-ฉันจะเล่าใ/?fbclid=IwY2xjawISjNhleHRuA2FlbQIxMQABHcV7LK_xjlde0zVcxzTddrlaqE1jLPCKP8pVtrzr2onB0VKPUriLi5SZGQ_aem_Wyk1HyIvZ8dzkWzI-QnQWQ

อตฺตานํ ทมยนฺติ ปณฺฑิตา

การเรียนรู้จาก Pt

เคสแรกที่เข้ามารอตอนเช้าวันอาทิตย์ CC: ฟันโยก เคี้ยวเจ็บ

Pt ญ อายุ~ 50 กว่าปี รูปร่างผอม ให้ประวัติมีโรคประจำตัว รักษาอยู่ที่ รพ.ศิริราช และมาพร้อมยาประจำตัวซองใหญ่

Physical appearance :

-พบ ecchymoses บริเวณแขนส่วนล่าง และรอยจางบริเวณระหว่าง nasolabial fold

-ตามี Icteric sclera

ประเมินเร็วๆ จากการมองในแวบแรก

มีตัวที่ลงท้าย -prolol เป็น β-blocker

มี 2 ตัวเป็น Warfarin –> เป็น Αnticoagulant กลุ่ม Vitamin K antagonist

มี Lanoxin หัวใจ –> ตัวนี้น่าจะ Digoxin ใช้ควบคุมศักย์ไฟฟ้าหัวใจ การเต้นและการบีบตัว

ตัวอื่นที่เหลือ คือ Bosentan, Furosemide ไม่คุ้นเลย

ส่วน Spironolactone, Sidenafil ชื่อคุ้นๆ แฮะ

Pt มีใบส่งตัวมาด้วย ท่านอาจาร์ยจาก ศิริราช เขียนมาดังนี้

ใจความสำคัญ คือ

  1. Idiopathic pulmonary hypertention with AF

ไม่คุ้นกับชื่อโรคๆ นี้เลย ถ้า Idiopathic thrombocytopenic purpura ล่ะ ok

แต่จากชื่อ มี Idiopathic แสดงว่า มันหาสาเหตุไม่ได้

และไม่คุ้นชื่อ โรคนี้มันน่าจะ rare ครับ ที่สำคัญ Pt ไป Tx ที่ ศิริราชด้วย แสดงว่า มันไม่ใช่โรคธรรมดาแน่ๆ

สรุปจากชื่อโรค จับใจความได้ว่า เป็นโรคที่หา cause ไม่ได้, เป็นโรคที่ rare และน่าจะรักษายาก ต้องอยู่ในมือ Specialist การทำหัตถการอันตราย มีข้อควรระวัง

Pt มี AF ด้วย และ on Warfarin 2 ตัว พร้อมกัน

2. ท่านอาจารย์ที่ ศิริราช ให้ข้อมูลค่า INR เมื่อ wk ที่แล้ว = 1.8

ค่า Platelet count = 106,000 เมื่อ 2 wk ที่แล้ว

และให้ Pt หยุด Warfarin 3-5 วัน ก่อนถอนฟันได้

ด้วยความที่เคยอ่านผ่านตามาบ้างว่า มีบทความนึงใน Dentdiary มีเรื่องนี้ เคยอ่านมารอบนึงแต่ลืมๆ ไปแล้ว เลยขอค้นแบบเร็วๆ ดีกว่า

จะค้น keyword ของชื่อโรค หรือ Warfarin ใน Google น่าจะช้ากว่าจะรู้เรื่อง

ok เข้าเวบ Dentdiary แล้วใช้คำค้น Heart เพื่อหาบทความนั้น

เจอละ

เข้าไปที่บทความนี้ แล้วเลื่อนลงมาเร็วๆ

เป๊ะมาก

” การ off ยา warfarin ใช้เวลา 3-5 วัน ก่อนทำหัตถการ คือ ให้ INR ลงมาต่ำกว่า 2 “

3. ท่านอาจารย์เขียนว่า ” ให้แจ้ง Pt ด้วย ว่าจะให้เริ่มยา Warfarin ได้เมื่อไหร่ หลังถอนฟัน “

เหตุผล เพราะ ท่านอาจารย์ไม่ทราบว่า หัตถการถอนฟันที่ทำ มีความยาก ง่าย แค่ไหน? และ การควบคุม Bleed หลังถอน จะทำได้ดีแค่ไหน? ทันตแพทย์ผู้ถอน จะ stop bleed ได้เมื่อไหร่?

การแจ้งให้ Pt ทราบถึงเวลาที่เริ่มกิน Warfarin อีกครั้ง จึงเป็นหน้าที่ของ Operator โดยตรง

เคสนี้เป็น #46 Chonic dento with Cr fx

case นี้ ด้วยความไม่แน่ใจใน Idiopathic + AF และ Hx ไม่ชัดเจนว่า Pt มี congenital heart disease ร่วมด้วยหรือไม่?

ผมจึงตัดสินใจ Premed Infective-endocarditis ไปก่อนถอน 30 min ไปเลยครับ

ฟันที่เป็น CC

Stop bleed ได้ด้วย pressure pack ปกติครับ

หลังดูว่า control bleed & vital sign ได้ปกติ จึงให้ Pt กลับบ้านได้

ส่วนผมหลังกลับถึงบ้าน ก็มาทำการบ้านเรื่องนี้ที่ค้างไว้ต่อ

Spinorolactone เป็น diuretic

Bosentan เป็นยาของโรคนี้โดยตรง

Sildenafil ก็ว่าคุ้นๆ มันคือ Viagra นั่นเอง

Furosemide ก็เป็น diuretic

อันนี้ค้น Pulmonary Hypertention กับ IE ว่า ตกลงมันต้อง Premed จริงมั๊ย?

จบการบ้านไปอีกชิ้นนึง

ref:

  1. https://dentdiary.com/2019/12/23/ประชุมวิชาการปลายปี-62-the-series-cardiovascula/
  2. https://www.pobpad.com/spironolactone
  3. https://wongkarnpat.com/viewya.php?id=2467#:~:text=ยา%20bosentan%20เป็นยาที่,นี้สามารถละลายในน้ำ
  4. https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ppkjournal/article/download/70764/57477
  5. https://www.pobpad.com/furosemide

วิธีดูแลสุขภาพช่องปากผู้สูงอายุจากมุมมองหมอฟันปลอม

จากการทำงาน “แบบตั้งรับ” ในคลินิกเอกชน เป็นระยะเวลา 24 ปี

ระยะเวลาที่ยาวนานเกิน 20 ปี ทำให้ผมได้เห็นภาพที่ต่อเนื่อง จากคนไข้ทั้งประจำ และ ไม่ประจำ (ได้แก่ คนไข้ที่มาบ้างนานๆ ครั้ง และ คนไข้ที่พบกันแค่ครั้งเดียว หรือ 2 ครั้ง)

ถ้านับคนไข้ที่พบกัน เมื่อ 20 ปีที่แล้ว เป็นคนอายุ 40 ปี ในปีนี้ คนไข้จะอายุ 60 ปี เข้าคำจำกัดความผู้สูงอายุไปทันที

ในช่วงที่ผ่านมา เราจะเริ่มได้ยินคำว่า “สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์”

สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ หมายความว่า ตั้งแต่ปีที่แล้ว (พ.ศ. 2566)

เวลาเดินตลาดเจอคนไทย 10 คน จะพบ ผู้สูงอายุ 2 ท่าน

จากรูป ถึงแม้ภาคกลางจะมีจำนวนผู้สูงอายุ มากที่สุด (คือ มากกว่าทุกภาค)

แต่สำหรับจังหวัดนครปฐม ถ้าดูตัวเลขแล้ว ภาพรวมของทั้งจังหวัด และ ใน อ.เมือง ตัวเลข ผู้สูงอายุ / จำนวนประชากรทั้งหมด ตัวเลขจำง่ายๆ อยู่ที่ 17 % ครับ

ข้อมูลล่าสุด ณ ปีนี้ พ.ศ. 2567

และจาก การสำรวจของ กระทรวงสาธารณสุข ตามตารางนี้นะครับ

ผมขอใช้เป็น “ต้นแบบ” ในการแบ่งกลุ่ม การดูแลสุขภาพช่องปากและฟัน ตามแนวทางนี้เลย

ผู้สูงอายุในกลุ่มติดสังคม และ กลุ่มติดบ้าน ถือ เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อ การเกิดโรคในช่องปากต่ำ – ปานกลาง (ในกลุ่มนี้มีโอกาสเกิดความเสี่ยงสูง อยู่ด้วย ขึ้นกับ พฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น อาหารที่ชอบกิน, เครื่องดื่มที่ชอบดื่ม, ความบ่อยในการกินอาหาร หรือ นิสัยอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับการกิน เช่น การสูบบุหรี่ เป็นต้น)

ส่วนผู้สูงอายุในกลุ่มติดเตียง ถือว่า เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ถ้าติดเตียงโดยมีองค์ประกอบร่วม คือ

  1. เป็นผู้สูงอายุที่ยังมีฟันธรรมชาติ
  2. เป็นผู้สูงอายุที่ยังมีฟันธรรมชาติ และยังใช้ฟันปลอมร่วมด้วย (อาจจะเป็นแบบติดแน่น หรือ ฟันปลอมแบบถอดได้)
  3. ผู้สูงอายุที่ไม่มีฟันธรรมชาติเลย และยังใช้ฟันปลอมทั้งปากอยู่

การดูแลที่ต่างกัน ความแตกต่างนั้นมีอยู่ปัจจัยเดียว คือ ความสามารถในการแปรงฟัน ดูแล ด้วยมือของตัวเองได้ กับ ต้องมีผู้ช่วยเหลือ คอยดูแล นั่นเองครับ

ตอนนี้จะพูดถึงในกลุ่มแรกก่อน คือ ผู้สูงอายุที่ดูแลตัวเองได้ครับ

โดยทั่วไป เรารู้ว่า ควรแปรงฟันวันละ 2 ครั้ง แต่สิ่งที่รู้กันน้อยมาก คือ เราควรแปรงฟันกัน ครั้งละนานกี่นาที ?

เรารู้ว่า ยาสีฟันมี ฟลูออไรด์ และต้องการแปรงฟันให้ ฟลูออไรด์ในยาสีฟัน ซึมเข้าไปในผิวฟัน เพื่อป้องกันไม่ให้ฟันผุ

ถ้าเราลองดูตัวเลข เวลาที่หมอฟัน ทายาที่เป็นฟลูออไรด์ชนิดเข้มข้นบนผิวฟัน ความเข้มข้นที่ใช้ทาของยา จะมี ฟลูออไรด์ ~ 10,000-20,000 ppm ใช้เวลาทานาน ~ 2-4 นาที

ทีนี้ ยาสีฟันสูตรทั่วไปที่ใช้กันจะมี ปริมาณฟลูออไรด์ ~ 1,500 ppm ( มากที่สุดที่หาซื้อในทั่วไป)

ระหว่าง ยาฟลูออไรด์ กับ ยาสีฟัน ที่ใช้กันตามบ้าน จะมีปริมาณ ฟลูออไรด์ ต่างกัน = 15,000/1,500 = 10 เท่า

นั่นหมายความว่า ถ้าให้ได้ผลป้องกันฟันผุได้ดี ใกล้ๆ กัน เราต้องให้ยาสีฟันสัมผัสฟัน นาน = 3 x 10 = 30 นาที

ซึ่งเป็นตัวเลขที่แปลกประหลาดมาก ถ้าจะมีคำแนะนำให้แปรงฟันถึง 30 นาที

แต่ก็เป็นไปแล้วในปัจจุบันครับ และตัวเลขนั้นมากกว่า 30 นาที ขึ้นไปอีก

(เป็นเอกสารจาก สำนักงานทันตสาธารณสุช กรมอนามัย สธ ที่ได้ไปค้นคว้ามาอีกที)

สำหรับวิธีการแปรงฟัน ปัจจุบัน จะใช้คำแนะนำให้ขยับแปรงสั้นๆ หรือ หมุนแปรงเป็นวงกลม วนไปมา โดยให้ตำแหน่งขนแปรงอยู่ใกล้ๆ ขอบเหงือก ถือเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดครับ

ref:

การขยับแปรงเพียงจังหวะ “สั้นๆ” หรือ หมุนเป็นวงกลม (วงรี ก็ได้) จุดประสงค์ที่แฝงไว้คือ เป็นการไม่ทำให้เกิดฟันสึก ครับ โดยเฉพาะในส่วนของฟันที่ง่ายต่อการสึกมากที่สุด ตามตำแหน่งในรูปนี้ครับ

เรื่องนี้ ขอขยายอีกนิด ในมุมของหมอฟันปลอมครับ

คือ แม้ในการตรวจของหมอฟัน ก็ยังมีหมอที่เห็นคนไข้ที่มีลักษณะแบบนี้ แล้วต้องถามต่อว่า “ใช้แปรงที่มีขนแปรงแข็ง มั๊ยครับ?”

แต่ประวัติจริงๆ ของคนไข้คนนี้ คือ เขาไม่ได้ใช้การแปรงฟันด้วย แปรงสีฟัน และ ยาสีฟัน ครับ แต่ให้ประวัติคือ ชอบกินส้มมาก และกินวันละหลายลูก

การสึกที่คอฟัน ในรูปนี้เกิดการการกัดฟัน และกรดจากน้ำผลไม้ คือ น้ำสัมครับ

สำหรับคนไทย แหล่งของกรดจากอาหาร นอกจากน้ำผลไม้มาจากกรดที่มาจากผลไม้ เช่น มะนาว และ น้ำส้มสายชู ที่อยู่ในเครื่องปรุงอาหาร และ กรดในน้ำอัดลมครับ

วิธีการที่กรดเข้าไปทำลายผิวฟัน

คือ การละลาย แคลเซียม และ ฟอสเฟต ที่ผิวฟัน และ เนื้อฟัน

ปัจจุบัน ความรู้ทางทันตแพทย์สมัยใหม่ เริ่มให้น้ำหนักเรื่อง ขนแปรงที่แข็ง แล้วทำให้ฟันสึก น้อยมากครับ

เพราะแปรงสีฟันที่ได้มาตรฐาน ผ่านการรับรองคุณภาพทั้งจาก สคบ. และ กรมอนามัย สธ. ไม่มีแปรงขนแข็งแล้วครับ มีเพียง ชนิด Soft และ Ultra-Soft คือ นุ่ม กับ นุ่มที่สุด

โอกาสที่ขนแปรงจะทำอันตรายจากผิวฟันน้อยมาก

ตรารับรองจาก กรมอนามัย

ตอนนี้สาเหตุหลักที่ทำให้ฟันสึก เราเชื่อ อยู่ 2 เรื่องใหญ่ๆ

คือ รูปแบบการกัดฟันของคนไข้ กับ กรดจากอาหาร เป็นหลัก

(ส่วน ความแข็งของขนแปรง และ วิธีแปรงฟันที่ผิดวิธี เช่น การขยับแปรงแบบลากยาว เป็นปัจจัยร่วมที่ทำให้ การสึกของฟันรุนแรงขึ้น เท่านั้น แต่ไม่ถือเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิด)

ในรูปแสดงตำแหน่งฟัน เวลาเราเคี้ยว

ต่อเนื่องจาก อาหารที่มีกรดผสมอยู่ เราคงไม่แยกว่า อาหารชนิดไหน มีความเป็นกรดสูง หรือ ต่ำ นะครับ เพราะ อาหารไทยที่ไม่มีส่วนประกอบของน้ำส้มสายชู หรือ น้ำมะนาว คงยากมาก แต่ถ้าคิดซะว่า อาหารที่กินมีความเป็นกรดอยู่ไม่มากก็น้อย การแปรงฟัน “ทันที” หลังกินอาหาร จึงไม่ถือว่าดีนัก

เพราะจากรูปนี้ครับ

ถ้ามีกรดจากน้ำส้มสายชู ยังคงทำงานอยู่ในปาก เราควรให้พ้นช่วงเวลานี้ไปก่อน เป็นชั่วโมงเลยก็ได้ครับ แล้วจึงค่อยแปรงฟันได้ตามปกติ

โดยส่วนตัว ผมจะไม่มีแปรงฟันหลังมื้ออาหารครับ แต่จะบ้วนปากด้วยน้ำเปล่า หลายๆ ครั้ง แล้วตามด้วยการใช้เพียง ไหมขัดฟันทำความสะอาดบริเวณซอกฟัน เพื่อขจัดเศษอาหารที่ติดออก แล้วบ้วนน้ำเปล่าตามอีกรอบ 2 รอบ เท่านั้น

ไหมขัดฟัน เลือกแบบที่ถนัดมือนะครับ บางท่านอาจจะถนัดพกแบบเป็นตลับเล็กๆ แล้วดึงมาใช้เป็นเส้น อย่างผมถนัดแบบมีก้านจับครับ (เคยให้คนไข้ลองใช้ บางท่านบอก ไม่ค่อยชอบ ถนัดแบบดึงมาใช้พันนิ้ว แบบเป็นเส้นมากกว่า)

รูปเทียบขนาดด้ามจับ กับ ดินสอดำธรรมดา

ส่วนของชนิดของยาสีฟัน และ น้ำยาบ้วนปาก ผมแนะนำให้เลือกใช้ชนิดที่ชอบในรสชาติครับ เพราะส่วนผสมทำมาแข่งกัน คุณภาพการใช้งานไม่ค่อยต่างกันตามชนิดที่มีขาย แต่ความสำคัญของการชอบใช้ เป็นเรื่องสำคัญกว่า

เพราะถ้ารู้สึกชอบในรสชาติของยี่ห้อใด ก็จะดึงดูดทำให้รู้สึกมีความสุขเวลาแปรงฟันมากขึ้นครับ ทำให้รู้สึกอยากมีเวลาแปรงได้นาน และดึงดูดให้อยากทำอย่างสม่ำเสมอครับ

ในส่วนของ ยาสีฟันชนิดพิเศษ เช่น ชนิดลดอาการเสียวฟัน สามารถซื้อมาใช้ได้อย่างปลอดภัยครับ แต่ต้องคิดว่า เป็นการลดอาการแบบไม่ถาวร และควรหาสาเหตุว่า ความผิดปกติอะไรที่ทำให้เกิดอาการเสียวฟัน หลังไปตรวจ และหมอวินิจฉัยได้แล้ว จะแก้ปัญหาได้ตรงจุดที่สุดครับ ( ok หมออาจแนะนำให้ใช้ยาสีฟันเพื่อลดอาการต่อได้ อย่างสบายใจ โดยไม่ต้องมีการรักษาอย่างอื่นเพิ่มอีก)

อีกตัวคือ ยาสีฟันชนิดทำให้ฟันขาว สามารถซื้อมาใช้ได้ อย่างปลอดภัยครับ

โดยรวมเมื่อต้องเปลี่ยนยาสีฟัน หรือ ลองซื้อยาสีฟันยี่ห้อใหม่มาใช้ ให้คิดเหมือนเราต้องใช้ยาตัวใหม่ๆ ครับ (จริงๆ ยาสีฟัน ไม่จัดอยู่ในยา แต่อยู่ในกลุ่มเครื่องสำอางค์ครับ) ถ้าลองใช้แล้ว มีอาการผิดปกติ เช่น ใช้แล้วอยู่ดีๆ หลังใช้ ปากเป็นแผล หรือ แปรงแล้วรู้สึกเสียวฟันหลังใช้ ให้ “หยุด” การใช้งานไว้ก่อน แล้วลอง “เปลี่ยน” ไปใช้ตัวเก่าที่เคยใช้แล้วไม่มีปัญหาครับ เป็นวิธีที่ง่ายสุดในการหยุดอาการที่อาจลุกลาม หรือ เป็นมากขึ้น

ต่อมา ในกลุ่มผู้สูงอายุที่ติดเตียง หรือ ต้องมีผู้ช่วยดูแล

หลักการ คือ ” ต้องมีความยืดหยุ่น ” ครับ

ยืดหยุ่นได้ทุกอย่าง เช่น ไม่จำเป็นต้องแปรงฟันให้วันละ 2 ครั้งครับ ถ้าสะดวก 1 ครั้ง และทำได้ดีพอ ก็ทำได้

หรือ จะไม่ใช้แปรง แต่ใช้ผ้าก๊อซ หรือ ฟองน้ำชิ้นเล็กๆ ชุบยาสีฟัน เช็ดและถู แบบนี้ก็ได้

อาจต้องยืดหยุ่นเวลาแปรง ไม่จำเป็นต้องเป็น เช้า หรือ ก่อนนอน ก็ได้

เช่น ถ้าผู้ดูแลสะดวกช่วงบ่าย หลังมื้อกลางวัน ก็แปรงให่้ตอนบ่ายได้ครับ

เพียงแต่ ขั้นตอนการแปรงฟันใน ผู้สูงอายุ ที่ติดเตียง ต้องมีอุปกรณ์พิเศษเพิ่มเข้ามา เช่น หลอดฉีดยาขนาดใหญ่ที่ใช้ดูดน้ำสะอาด เข้าไปฉีดล้างให้ในปาก, ตัวดูดน้ำลาย ในคนที่มีปัญหากลืนลำบาก เพื่อป้องกันการสำลัก, ถาดรองข้างเตียง เพื่อซับน้ำลายและเศษอาหาร, แปรงสีฟันไฟฟ้า ข้อดีคือ มีหัวกลมขนาดเล็ก สอดเข้าในช่องปากได้ง่าย และผ่อนแรง ผู้ดูแลไม่ต้องขยับมือแปรงฟันให้ เป็นต้น

ในส่วนของการดูแลฟันปลอม

ฟันปลอมแบบติดแน่น เพราะส่วนประกอบของฟันปลอมติดแน่น จะทำงานวัสดุ 2 ชนิด คือ โลหะผสม กลุ่มที่ไม่เกิดสนิม หรือ ไม่เกิดการกัดกร่อน กับ วัสดุอีกชนิด คือ กระเบื้อง

การยึดของฟันปลอมชนิดติดแน่น จะประสานด้วยกาว ยึดติดไปกับฟันจริง เพราะฉะนั้น การแปรงฟัน เพื่อทำความสะอาดฟันธรรมชาติ จึงเหมือนการทำความสะอาดฟันปลอมติดแน่นไปด้วยในคราวเดียวกัน

สามารถใช้ยาสีฟัน, น้ำยาบ้วนปาก และแปรงสีฟัน, ไหมขัดฟัน ทุกชนิด ได้ตามปกติ

แต่ในส่วนของฟันปลอมชนิดถอดได้ ส่วนประกอบจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็น อะคริลิค กับ ส่วนที่เป็น โลหะผสม

ตัวอย่าง ฟันปลอมชนิดที่มี อะคริลิค อย่างเดียว เป็นฟันปลอมชิ้นล่าง

ฟันปลอมชิ้นเดียวกัน เมื่อดูด้านล่าง

แสดงฟันปลอมชนิด ฐานอะคริลิค อีกชิ้น เป็นชิ้นฟันบน จะสังเกตว่า ด้านล่างฐานฟันปลอมจะมีลักษณะขรุขระ ผิวไม่เรียบ ซึ่งจำลอง ลอกเลียนรายละเอียดตามรูปร่างเหงือก และ เพดาน ของผู้สวมใส่แต่ละคน

อีกชิ้น เป็นฟันปลอมชนิดที่ไม่มีโลหะ แต่เป็นฐานฟันปลอมแบบยืดหยุ่น คือ แข็งนะครับ ไม่นิ่ม เพียงแต่มันสามารถบิดงอได้ นิดหน่อย (ถ้าเป็นชนิด อะคริลิค แบบที่แสดงในตอนแรก จะบิดงอไม่ได้เลยครับ)

รูปนี้ สังเกตว่า ออกแรงบีบนิดหน่อย มันจะงอได้

การงอได้ของมัน มีไว้เพื่อให้สามารถโอบรัดที่ฟันจริง เป็นตัวที่ทำให้ฟันปลอมแน่น โดยไม่ต้องใช้ตะขอ ที่เป็นโลหะครับ

ฟันปลอมชนิดถอดได้ ที่ทำกันส่วนใหญ่ในประเทศไทย จะทำด้วย อะคริลิค ครับ

แบบนี้คือ แบบฐานอะคริลิค ที่มีตะขอโลหะอยู่ด้วย

นี่ก็เป็น แบบ อะคริลิค กับ โลหะ เช่นกัน

โลหะที่ใช้เป็น โลหะผสมชนิด โคบอลต์+โครเมียม ไม่เกิดการกัดกร่อนในช่องปาก ไม่เกิดสนิม (แต่ไม่ใช้ Stainless steel นะครับ เราไม่ใช้ Stainless steel กับฟันปลอมครับ)

ในความความรู้สึกของ หมอที่ทำฟันปลอม การดูแลรักษาฟันปลอม นอกจากจะทำให้ฟันปลอมใช้ได้นานแล้ว ยังช่วยให้ฟันธรรมชาติ ที่เหลืออยู่ของผู้ใส่ มีอายุการใช้งานที่ยาวนานตามไปด้วย

เพราะฟันปลอม แม้ถือเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ไม่ได้ใช้งานเพื่อใส่ภายในร่างกาย เช่น โลหะผสมไทเทเนียม ที่ยึดดามกระดูก หรือ ลิ้นหัวใจที่ฝังอยู่ภายใน แต่ลักษณะการใส่ในช่องปาก ที่แนบสนิท และติดชิด กับอวัยวะโดยรอบ ทั้ง ฟัน, เหงือก, ลิ้น, กระพุ้งแก้ม, เพดานปาก ทำให้ถ้าทำความสะอาดฟันปลอมไม่ดี ย่อมมีผลต่ออวัยวะเหล่านี้ด้วย นี่ยังไม่นับ ขณะฟันปลอมทำงานเคี้ยวอาหาร ก่อนอาหารถูกกลืนผ่านลงไป

รูปแสดงการวางในตำแหน่งของฟันปลอมบน

ขณะวางอยู่ในตำแหน่งของฟันปลอมล่าง

จึงจะเห็นว่า การทำความสะอาดและดูแลฟันปลอม สำหรับผู้สูงอายุจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะถ้าทำความสะอาดได้ไม่ดี อย่างน้อยที่สุด ผลเสียจะตกกับอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับมันมากที่สุด คือ เกิดฟันผุ และ โรคเหงือกอักเสบ นั่นเอง

หลักในการดูแลฟันปลอม แบบพื้นฐาน

  1. ทำความสะอาดฟันปลอม ทุกครั้ง หลังมื้ออาหาร

รูปแสดง แปรงทำความสะอาดฟันปลอมโดยเฉพาะ ที่มีหัวแปรง 2 แบบ หัวที่กว้างใช้แปรงผิวทั่วไป ส่วนหัวเล็กใช้แปรงบริเวณซอกเล็กๆ

เราดัดแปลงการใช้งาน โดยมีแปรง 2 ขนาดได้ครับ แปรงหัวใหญ่ปกติ กับ แปรงขนาดหัวเล็ก เช่น แปรงเด็ก เวลาใช้งาน ก็ใช้ทำความสะอาดด้วยกัน

ยกตัวอย่าง ส่วนของฟันปลอมที่เป็นซอกเล็กๆ นะครับ แปรงขนาดหัวปกติจะเข้าไปทำความสะอาดตรงนี้ยาก

คือ บริเวณด้านในตะขอโลหะ

2. สารที่ใช้ทำความสะอาดฟันปลอม ร่วมกับแปรงสีฟัน ได้ดีที่สุด คือ น้ำยาล้างจานครับ และ ตัวทำความสะอาดที่แย่ที่สุด คือ ยาสีฟัน

เหตุผล คือ ตัวฐานฟันปลอม และ ซี่ฟันปลอม จะสึกได้เมื่อเจอผงขัดที่อยู่ในยาสีฟันครับ ขณะที่น้ำยาล้างจาน ไม่มีผงขัดผสม จึงเป็นตัวที่ปลอดภัยที่สุด ไม่ทำให้ฟันปลอมเกิดรอยขีดข่วน หรือ ฟันปลอมสึกในระยะยาว

ในความเห็นส่วนตัว ของหมอทำฟันปลอม ไม่ serious ครับ ถ้าท่านใดชอบการใช้ยาสีฟัน ก็ใช้ได้เลย

3. ขณะแปรงฟันปลอม ควรทำที่อ่างน้ำ และ เปิดน้ำในอ่างคาไว้เล็กน้อย อย่าทิ้งน้ำหมด คือ เผื่อพลาด เกิดฟันปลอมหลุดมือครับ น้ำในอ่างจะช่วยพยุงฟันปลอมที่พลัดหล่นได้ ไม่เกิดความเสียหาย

ถ้าท่านใด ไม่สะดวกทำใกล้อ่างน้ำ ให้ใช้ขันน้ำใส่น้ำ รองไว้ใกล้ๆ มือครับ

4. ต่อเนื่องจากข้อ 3 คือ สมมติพลาด เกิดสถานการณ์ที่ฟันปลอมหลุดมือ หล่น แล้วร้าว หรือ หักออกเป็นชิ้นๆ ถ้าเก็บชิ้นส่วนมาครบ ส่วนใหญ่ 90% จะต่อกลับคืนได้ครับ ไม่ต้องทำชิ้นใหม่

เก็บชิ้นส่วนให้ครบ ไม่ต้องพยายามทากาวยึดเชื่อมกลับครับ เพียงเก็บครบ แล้วส่งมาถึงมือหมอเท่านั้น ในหลายกรณี คนใส่ไม่จำเป็นต้องไปด้วย เมื่อซ่อมเสร็จ ให้คนอื่นในบ้านมารับฟันปลอมนำให้กลับไปใช้ได้ กรณีผู้สูงอายุติดเตียงครับ

ยกเว้น ในบางกรณี ถ้าหมอตรวจฟันปลอมดูแล้ว ไม่สามารถซ่อมโดยไม่มีผู้ใส่ได้ ก็จำเป็นต้องให้เจ้าของฟันปลอมมาด้วย เพื่อพิมพ์แบบซ่อมฟันปลอมครับ

รูปแสดงการพิมพ์แบบเพื่อซ่อมฟันปลอม ที่ต้องพาเจ้าของฟันปลอมมาด้วย เพื่อพิมพ์

5. ปกติการเก็บฟันปลอม เมื่อถอดออกตอนนอนกลางคืน ควรแช่ฟันปลอมในน้ำครับ

ใช้น้ำสะอาดธรรมดา ไม่จำเป็นต้องแช่ในน้ำยาฆ่าเชื้อทุกคืน

เหตุผล คือ เป็นการรักษาฟันปลอมให้อยู่ในสภาพที่ชื้นเหมือนเวลาใส่ในปากตลอดเวลาครับ ฟันปลอมสามารถเก็บไว้ในที่แห้งได้ แต่ถ้าแห้งเป็นระยะเวลานาน ส่วนของฟันปลอมที่เป็นฐานอะคริลิค อาจเกิดการเปลี่ยนรูปร่างได้ เมื่อเทียบกับตอนที่มันอยู่กับน้ำลาย

6. เทคนิคการทาครีมติดฟันปลอม

ขั้นตอนแรก บีบจากหลอดออกมาไว้ที่ใต้ฐานฟันปลอม เป็นจุดๆ ครับ 2-3 จุด

จากนั้นใช้นิ้วเกลี่ยให้ทั่ว เป็นชั้นบางๆ เหมือนเราทาครีมที่ใบหน้า

เป็นชั้นบางๆ แบบนี้ (ไม่เหลือให้เห็นเป็นก้อน หรือ ชั้นหนา)

เหตุผล เพราะ เมื่อครีมติดฟันปลอม ถูกน้ำลายจะเกิดการดูดน้ำ แล้วขยายตัว หรือ พองตัวแบบช้าๆ ทำให้เกิด “ความหนืด” เพิ่มขึ้นครับ การทาเป็นชั้นบางๆ ทำให้ฟันปลอมสามารถแนบสนิท ใส่ลงตำแหน่งได้ ถ้าทาเป็นก้อน หรือ ชั้นหนา โดยไม่เกลี่ยให้เสมอกัน ครีมส่วนเกินจะไหลออกจากฐานฟันปลอม เกิดการละลายได้เร็ว

ละลายได้เร็วจาก ครีมเมื่อดูดน้ำจนหนืดสูงสุดแล้ว ถ้ามีน้ำให้ดูดเข้าไปอีก ความหนืดของมันจะลดลงอย่างรวดเร็ว แล้วเกิดการละลายครับ ทำให้คนที่ใช้รู้สึก ต้องทาครีมยึดบ่อยกว่าที่ควรจะเป็น

ต่อไป เป็นช่วงคำถามครับ

ref:

  1. https://thaipublica.org/2024/02/thailand-becomes-aged-society/#:~:text=สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์,ละ%2014%20ของประชากรทั้งหมด
  2. https://3doctor.hss.moph.go.th/main/rp_ampur?rgion=5&prov=NzM=&provn=4LiZ4LiE4Lij4Lib4LiQ4Lih
  3. https://ppdental.anamai.moph.go.th/elderly/2553/EldGr/HPPEld3.pdf
  4. https://www.quintessence-publishing.com/gbr/en/product/noncarious-cervical-lesions-and-cervical-dentin-hypersensitivity
  5. https://www.quintessence-publishing.com/gbr/en/product/brudviks-advanced-removable-partial-dentures
  6. https://ppdental.anamai.moph.go.th/elderly/academic/full91.pdf

โดย เรืออากาศเอก ทันตแพทย์ พัลลภ ตรีนัย ท.บ.

-ทันตแพทยศาสตร์บัณทิต (เกียรตินิยม อันดับ 1) คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (พ.ศ. 2532-2537)

-หลักสูตรวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต ภาควิชาทันตกรรมประดิษฐ์ คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (พ.ศ. 2541-2543)

-แผนกทันตกรรม โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช กรมแพทย์ทหารอากาศ กองทัพอากาศ (พ.ศ. 2544)

-คลินิกอารักษ์ทันตแพทย์ (พ.ศ.2544 – ปัจจุบัน)

สถานที่ติดต่อ : 100-102 คลินิกอารักษทันตแพทย์ ถ.พญาพาน ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม 73000 (034-259 117)