Category: Uncategorized

มันคือ PathwaysOTP ฉบับมินิ review หนังสือ ศาสตร์การรักษาคลองรากฟัน

14947778_1115197878534923_177760236694072251_n

เมื่อหลายวันก่อน ขณะที่เดินเล่นในร้านหนังสือ สายตาเหลือบไปเห็นชั้นหนังสือทันตแพทย์ว่างโล่งอยู่ 1 ล็อค ปกติชั้นบนสุดจะวางหนังสือที่เพิ่งออกมาใหม่ ผมรู้ด้วยสัญชาตญาณเลยว่า หนังสือเล่มนี้ hot มากแน่ๆ เลยถามพี่เจ้าหน้าที่ว่า “ตรงนี้เคยเป็นที่วางหนังสือเล่มใด วานบอก?”

14956607_1115163655205012_6924725787215501195_n

พี่เจ้าหน้าที่ check คอมแล้วเดินไปหยิบมาทันใด “หนังสือของอาจารย์ ปิยาณี นั้นไซ้ร ราคา 910 บาท ขาดตัว”

15078538_1115164868538224_7489487092892301858_n

หนังสือ Endo ขนาดหนา 500 หน้าปกอ่อน คุณภาพกระดาษธรรมดา ไม่ได้พิมพ์สีทั้งเล่ม (เพราะถ้าสีทั้งเล่ม ราคาน่าจะ shoot ไปที่ 2xxx บาท) โครงสร้างหนังสือแบ่งออกเป็น 10 บท นอกจากความรู้เรื่อง Endo ยังมีเรื่องอื่นเช่น Phamaco, Dental materials, Oper และ Pros ด้วยครับ

15055669_1115166935204684_2007234856547017282_n

ตอนเปิดมาก็ทำใจว่า รูปต้องเป็นขาวดำแน่นอนนะ แต่พอดูรูปจริงๆ ก็ยังอดอยากให้เป็นสีทั้งเล่มไม่ได้ ถ้าเป็นรูปสี จะงามขนาดไหนนะ

14956570_1115167791871265_2711579733094309996_n

ท่านอาจารย์เหมือนทราบความในใจนักเรียน เลยให้มีสีปนอยู่บ้าง น่าจะประมาณ 5% ของรูปทั้งหมดครับ มีกระจายท้ายบททุกบท โดยเฉพาะ case study มีรูปสีบ้าง

14993560_1115169595204418_6971788545252073326_n

ท่านอาจารย์ รศ.ทพญ.ปิยาณี พาณิชย์วิสัย ผู้แต่งหนังสือ ท่านเป็นประธานชมรมเอ็นโดดอนติกส์แห่งประเทศไทย คนปัจจุบันด้วยครับ

14947854_1115170385204339_7813176932809494113_n

หนังสือเล่มนี้เหมาะกับใคร? ตอบได้เลยว่า ไม่เหมาะกับเด็กUndergraduate ไม่เหมาะกับทันตแพทย์ที่ไม่ได้ทำงาน Endo สำหรับทันตแพทย์จบใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์งาน Endo ก็อ่านลำบากครับ หนังสือเล่มนี้เหมาะกับทันตแพทย์ทั่วไปที่ทำงาน Endo มาซักระยะ จะสามารถอ่านและทำความเข้าใจหนังสือได้ทั้งหมด

เหตุผล เพราะ ผมจะยกตัวอย่างในบทที่ 5 ครับ บทนี้จริงๆ จะเริ่มต้น Mechanical instrumentation ของบทที่ 6 แต่แทนที่จะใช้คำว่า Instruments,Materials and Devices ท่านอาจารย์ใช้คำว่า “นวัตกรรมในงานรักษาคลองรากฟัน” เพื่อจะเป็นการขีดเส้นแบ่งหลักไมล์ของงาน Endo ว่ามีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง ในระยะเวลาที่ผ่านมา 5-10 ปีในอดีต

14947581_1115200685201309_2934312586554988191_n

ถึงจะเป็นทันตแพทย์ที่ทำงาน Endo จนมีประสบการณฺมาก แต่ไม่เคยเข้าประชุม หรือ อ่านเอ็นโดสารมาอย่างต่อเนี่อง ก็ยากที่จะอ่านหนังสือเล่มนี้เข้าใจทั้งหมดเช่นกัน

หลังจากพ้น Oral medicine ของบทที่ 1 ก็จะเริ่มเข้าสู่ช่วงคลินิก ตั้งแต่บทที่ 2 จนถึงบทสุดท้าย

15036328_1115178598536851_2079277423622121278_n

มีการเปลี่ยนคำว่า sucess ในการทำงานเป็นคำที่ reasonable กว่านั้น

14947563_1115179278536783_1024840677107043496_n

บทนี้น่าสนใจตรงพูดถึง Endo กับ Implant ด้วยครับ

15032317_1115179788536732_7854455041351600276_n

บทที่ 3 เน้นเรื่อง X-ray กับ วิธีใส่ Rubber dam ครับ ใน case ที่ใส่ยาก ท่านอาจารย์มีรูปให้ดูด้วย

15078566_1115181148536596_5255135579388379003_n

เรื่อง X-ray ในตารางนี้อาจงงๆ กับหน่วยวัด Dose rate ของรังสี เพราะจริงๆมีความแตกต่างกันในการใช้หน่วย เช่น การวัดปริมาณรังสียังผล (Effective dose) และปริมาณรังสีสมมูล (Equivalent dose) หน่วยจะเป็น ซีเวิร์ต (Sv) ครับ ส่วนหน่วย เกรย์ (Gy) ใช้วัดปริมาณรังสีดูดกลืน ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน แต่ในหนังสือไม่ได้อธิบายรายละเอียดไว้ เพราะอาจจะเยอะเกินครับ

15027653_1115186988536012_2329645180982327392_n

 บทนี้ท่านอาจารย์ให้ความสำคัญมาก มากขนาดไหน ให้ดูจากภาพปกหนังสือครับ
15055851_1115190228535688_4623008569554809691_n
เอาภาพปกหนังสือ ให้ชมกันอีกที ปกติภาพปกหนังสือทั่วไปจะเลือกรูปสวยๆ โดนๆ โดดเด่น ประมาณนั้น แต่ท่านอาจารย์เลือกที่จะให้ความรู้กันตั้งแต่ยังไม่เปิดหนังสือกันเลยทีเดียว ภาพที่อธิบายหน้าปกอยู่ในบทที่ 8 ครับ มันคือภาพ Micro CT 3D แสดงระบบคลองรากฟัน mesial root ที่มีส่วนคอดคลองรากฟันที่แบ่งออกเป็น 4 types โดย Fan B และคณะ ในปี 2010
14947778_1115197878534923_177760236694072251_n
C-shaped canal system โดย Fan B และคณะ ปี 2004 ก็มา
14956544_1115200088534702_2308754779405835565_n
บทที่ 5 นวัตกรรมเครื่องมือใหม่ๆ
14947581_1115200685201309_2934312586554988191_n
Stress-Strain curve ที่คุ้นเคยของ Dent mat (น่าจะเป็นกราฟแรกเลยนะ ที่เรียนใน materials)
15037135_1115201995201178_4130119249847024514_n
ฟล์ต้องประสงค์ (Self Adjusting File,SAF)
14732350_1115202831867761_2425881172961549591_n
มาถึงเรื่อง MI

 15073547_1115203185201059_77711029333798170_n
ยอมรับเลยว่าผมรู้จักแค่บาง technic เท่านั้นเองครับ ซึ่งจริงๆ มันมี อยู่เยอะมาก หนังสือเล่มนี้จึงเหมือนจุด Check point ของงาน Endo คือ ถ้าไม่มีการรวบรวมและสรุปเป็นหนังสือเล่มนี้ อีก 5-10 ปีข้างหน้า เราจะไม่มีความรู้ที่ต่อเนื่องจากอดีตได้เลย
14956537_1115205141867530_3452484500163661196_n
มีพูดถึง reaction ของน้ำยา irrigants ด้วยครับ ทั้ง NaOCl กับ CHX และ EDTA มีตะกอนเกิดขึ้นด้วยนะ เวลาเจอกัน ส่วนจะให้ effect ยังไง? ลองอ่านดู
14955854_1115208261867218_9166527062430326177_n
บทนี้เป็น บท Phamaco 95% ครับ ท้ายๆบทมีคลินิก วิธีการนำยาเข้าสู่คลองรากฟันนิดหน่อย
15037339_1115209335200444_6922608466364130757_n
บทที่ 8 เรื่อง root canal obstruction มี sealer ใหม่และวัสดุที่ใช้แทน Gutta ครับ
15037270_1115210661866978_5736152588028096129_n
รูปที่แสดงในหน้าปก ก็อยู่ในบทนี้
15037173_1115211215200256_1477775137864633534_n
สารภาพว่า ตอนเริ่มอ่านด้วยความอยากรู้มาก ผมเลือกอ่านบทที่ 9 เรื่อง Retreat เป็นเรื่องแรกของหนังสือครับ แล้วตามด้วยบทที่ 10 ซึ่งเป็นเรื่อง Pros เพราะผมอยากรู้มุมมองว่า Endo มองงาน Pros อย่างไรบ้าง?
14991954_1115215801866464_8384804486806910261_n
บทที่ 9 พูดถึงการรื้อทุกสิ่งที่เป็นอุปสรรคของการ Retreat ทั้งการรื้อ post&core และการรื้อ Gutta
15056476_1115216498533061_3493247298279746296_n
การ Restore ฟัน Endo
15036464_1115218445199533_7652443362530787701_n
เห็นคำว่า Nayyar ไม่ต้องงงนะครับ คือเทคนิคการใช้ Amalgam post&core build up นั่นเอง
14993583_1115222225199155_4790051740415159993_n
เล่มนี้เป็นการพิมพ์ครั้งแรก จำนวน 1000 เล่มครับ ถ้าใครอยากอ่านก็สั่งซื้อที่ link นี้ได้เลย

น่าจะเป็น Top3 ของชมรมที่เข้มแขึงและสม่ำเสมอที่สุดในวงการทันตแพทย์ไทย review วารสารเอ็นโดสาร

13522016_1014223841965661_8305406678556221167_n

เพราะถ้าตัดวารสาร “ข่าวสารทันตแพทย์” ของทันตแพทยสมาคม ที่ออกวารสารอย่างสม่ำเสมอ จะพบว่า มีชมรม(สมาคม) ที่มีวารสารของตัวเองเป็นรูปเล่ม คือ 1.สมาคมศัลยศาสตร์ช่องปากและmaxillofacial 2.ชมรมทันตกรรมหัตถการ และ 3.ชมรมเอ็นโดดอนติกส์แห่งประเทศไทย

และถ้าเทียบกันระหว่าง ชมรม Oper กับ ชมรม Endo จะพบว่า Oper ออกวารสารเล่มแรกสุดของชมรมในปี พ.ศ.2543 ขณะที่ชมรม Endo ออกฉบับแรกสุดในปี 2539

เล่มที่เห็นในรูปจึงมีความพิเศษในวาระที่ Endoสาร ออกมาครบรอบ 20ปีพอดีในปีนี้

กระทู้นี้เพื่อชี้ว่า ทำไมจึงควรสมัครเป็นสมาชิกวารสารนี้แบบตลอดชีพ?

การที่ชมรมทางวิชาการใดๆ จะมีผลงานตีพิมพ์มาอย่างต่อเนืองและยาวนาน สม่ำเสมอตลอดช่วงเวลา 20ปี นอกจากทีมกองบรรณาธิการที่เข้มแข็งแล้วยัง สะท้อนถึงความไม่หยุดนิ่งในการเปลี่ยนแปลงทางวัสดุ,เครื่องมือ,เทคนิกวิธีการ นวัตกรรม และความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของสมาชิกให้การสนับสนุนกิจการอย่างพร้อมเพรียง

ข้อสังเกตอย่างนึงของชมรมEndo คือ 1.มีผู้หญิงเยอะมาก (เป็นส่วนใหญ่) 2.มีฐานส่วนใหญ่อยู่ที่ คณะทันตแพทย์ MU

13533359_1014230691964976_3831646495312619198_n

ถ้าเราลองเดินจาก BTS อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิฝั่งตรงข้ามห้างสรรพสินค้า Century เข้าไปประมาณ 700 เมตร

13567378_1014233225298056_5317413294585932348_n

แล้วเดินเข้าไปในอาคารในชั้นแรก จะพาร้านขายวัสดุและหนังสือของคณะทันตแพทย์ศาสตร์ MU ครับ

13533184_1014233798631332_59638636480773934_n

ลองเข้าไปดูข้างใน

13528897_1014233985297980_3309265340581223723_n

13590398_1014234075297971_4202718509167342122_n

ค่อนข้างจริงจังกับงาน Endo มากๆ

13566979_1014234308631281_6410211877578319370_n

ในส่วนของหนังสือที่มีจำหน่าย (ข้อสังเกตอีกอย่างคือ หนังสือ Endo ภาษาไทยที่ใช้กันอย่างกว้างขวางทั้ง หนังสือ “คลองรากฟัน วิธีการรักษาและการแก้ปัญหา ของท่านอาจารย์ ละอองทอง วัชราภัย และหนังสือ “ฟันได้รับอุบัติเหตุ การตรวจ วินิจฉัย และรักษา ของท่านอาจารย์ศิริพร ทิมปาวัฒน์และคณะ กึมาจาก MU ครับ)

13516591_1014236655297713_8504266738046672673_n

อ่านมาถึงตรงนี้ถ้าคุณหมอท่านใดสนใจ products ต่างๆ รวมทั้งหนังสือ สามารถติดต่อ สั่งซื้อ Online ได้เลยครับ (โดยไม่ต้องถ่อมาถึงบางกอก)

กลับมาที่วารสาร Endoสาร

โดยรูปเล่มแล้ว Endoสาร และวารสาร Oper มีความคล้ายคลึงกันมาก แต่ถ้าเทียบกับการวางรูปแบบ layout ของเนื้อหาข้างในแล้ว ผมยังให้ Endoสาร ชนะขาดครับ

เพราะในทุกเรื่องจะมีการสรุปและเน้นใจความสำคัญที่อาจารย์แต่ละท่านเขียนเป็นระยะแบบนี้ครับ

13557917_1014238958630816_2837070258831410332_n

ตัวอย่างการเน้นเรื่อง pros และ con ของ MTA ในบทบาทการจัดการพวกฟันตายโดยยังปลายรากไม่ปิด

13532908_1014239591964086_3676097609785351064_n

เวลามี Prof ฝรั่งมา lecture ก็มีอาจารย์ท่านมาถอดคำบรรยายเป็นภาษาไทยให้อ่านสบายๆ ด้วยนะ

13528906_1014240011964044_1999985457924314186_n

โครงสร้างของวารสารมักจะปิดท้ายด้วย Case presentation รูปสวยๆ ครับ (ในรูปเรื่องการจัดการกับ Palatogingival groove ซี่ 2 บน)

13528664_1014240875297291_8413318987846105122_n

Package การบรรจุวารสารที่ส่งมาถึงบ้านจะเป็นแบบนี้

13521927_1014241075297271_9033464367253731074_n

กรอกใบสมัครกันได้เลยครับ

13590371_1014241711963874_6669661232380237945_n

QR code

13567417_1014242085297170_2555513304007234531_n

 

 

 

 

 

มา UpToDate เทคนิคการใช้ยาระงับอาการปวด regimen ล่าสุดกัน review หนังสือ ยาระงับปวดในทางทันตกรรม

13124714_981650568556322_56156061733082357_n

หนังสือความหนา 100 หน้าพอดีเป๊ะ ตีพิมพ์ครั้งแรกปี 2558 ด้วยจำนวนเล่มของการตีพิมพ์เท่ากับความหนาของหนังสือ (จำนวน 100 เล่ม) แต่งโดยท่านอาจารย์จากภาควิชา Pharmacology คณะทันตแพทยศาสตร์ มศว

13124980_981656535222392_3872514817475939266_n

การจัดแบ่งโครงสร้างหนังสือออกเป็น 4 บท มีเนื้อหาของบทที่ 1 เป็นเรื่อง Neuroanatomy ของ Pain pathways ตามด้วย Physiology ของ Synap และ neurotransmitters ส่วนบทที่ 2 และ 3 คือเรื่อง Pharmaco และบทสุดท้าย บทที่ 4 เรื่องการ Apply ไปใช้ใน clinic

ก่อนจะอ่านหนังสือเล่มนี้ ต้องเข้าใจว่า ท่านอาจารย์ผู้แต่งต้องการให้หนังสือเป็นคู่มือการเรียนสำหรับน้องๆ เด็ก Undergrad ครับ ดังนั้นเนื้อหาที่มีเยอะสุดหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกี่ยวพันกับความรู้ในระดับ Preclinic ทั้ง Neuro,Physio,Pharmaco,Immuno เราจะเจอกับคำที่เคยคุ้นเคยอย่างเช่น trigeminothalamic tract, subnucleus caudalis หรือคำที่ไม่คุ้นเคย พวก receptors อย่าง voltage-gated sodium channels (VGSCs) etc.

อาจทำให้รู้สึกลำบากและครั่นเนื้อครั่นตัวเวลาอ่าน แต่ในความเห็นของผม หนังสือเล่มนี้มีจุดเด่นที่ใช้ technical terms เป็นภาษาอังกฤษทับภาษาไทยไปเลยครับ ทำให้มีจุดเด่นที่อ่านได้ค่อนข้างลื่นไหล ไม่เจอคำประหลาดๆ อย่างเช่น ไกลกลาง,ใกล้กลาง,ฟันเทียม (อะไรแนวๆนั้น) อ่านรอบแรกแน่นอนจะไม่คุ้นเคยกับ Neurotransmitters หรือชื่อของ receptors ที่แปลกๆ แต่พออ่านรอบต่อมาจะรู้สึกดีขึ้นเรื่อยๆ ครับ

วิธีอ่านหนังสือเล่มนี้สำหรับผมในฐานที่ทำงานเป็นทันตแพทย์ GP ขอแนะนำให้อ่าน บทที่ 4 ใช่แล้วครับอ่านบทสุดท้ายเป็นบทแรก แล้วจึงอ่าน Pharmaco ในบทที่ 2 และ 3 เป็นบทต่อมาครับ และปิดท้ายด้วยบทที่ 1 ต่อมาถ้าจะอ่านเป็นรอบที่ 2 จึงอ่านเรียงตามปกติเป็น 1,2,3,4

ถ้าอ่านบทที่ 1 เรื่อง ประสาทสรีรวิทยาของความเจ็บปวดบริเวณช่องปากและใบหน้า เป็นบทแรกสุด สำหรับทันตแพทย์ที่ห่างจากความรู้ระดับ Preclinic มานาน ถือว่าค่อนข้าง Toxic มาก จนอาจหมดกำลังใจในการอ่านบทต่อๆไปเลยล่ะครับ

เนื่องจากผมไม่ได้ขออนุญาติท่านอาจารย์ผู้แต่งในการ review หนังสือ จึงขอหลีกเลี่ยงการถ่ายรูปเนื้อหาภายในหนังสือนะครับ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาสงวนลิขสิทธิ์ การ review ผมจะใช้การสรุปเนื้อหาที่น่าสนใจ เรียงตามบทที่ 1-4 แทน โดยไม่มีรูปประกอบของหนังสือใดๆ ทั้งสิ้น

อย่างที่เกริ่นไว้ แม้เนื้อหาที่ยากที่สุดในการทำความเข้าใจในบทที่ 1 เรื่อง ประสาทสรีรวิทยาของความเจ็บปวดบริเวณช่องปากและใบหน้า แต่ ในความเห็นของผม บทนี้กลับเป็บบทที่น่าสนใจที่สุดของหนังสือครับ

เพราะนอกจากท่านอาจารย์จะได้ทบทวน neuroanatomy ใน tract ต่างๆ ตั้งแต่ การรับความรู้สึกใน Peripheral (hydrodynamic theory) ไล่ไปจนถึง Central (Thalamus และ Cortex) ความสำคัญของบทนี้คือการโยงความรู้เข้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนไข้ที่พวกเราเจอใน clinic ทั้งเรื่อง การเกิด referred pain จากการรับความรู้สึกของเส้นประสาทส่วนปลายสุด ที่เกิดการเบนเข้า (convergence) ของ 1st order neuron มาสู่ 2nd order neuron การเบนเข้าทำให้เกิดขบวนการ processing ข้อมูลใหม่ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ การปรับลดหรือเพิ่ม ความรู้สึก pain ในคนไข้ ผลที่เห็นคือ ไม่สามารถ localize ตำแหน่งที่ปวดจริงได้ ตรงนี้อธิบายละเอียดและ clear ในการทำความเข้าใจมากครับ

หลายๆ ส่วนเป็นความรู้ที่ Update ไปมากกว่าสมัยที่ผมเรียน Physio ในปี 2534 เช่น เรื่องระบบ Cannabinoid ซึ่งเป็นระบบ receptor ที่ inhibit pulse ใน C-fiber ใช้อธิบายว่าเป็นอีกหนึ่งกลไกล (Pharmacokinetics ของยา Paracetamol) ที่ระงับอาการปวดได้

มีคำอธิบายเรื่องทำไมการฉีดยาขาจึงมีประสิทธิภาพในการทำให้ชาได้ลดลงในคนไข้ที่กำลัง hot tooth condition จากสารที่ร่างกายถูกกระตุ้นให้หลั่งออกมาจากการบาดเจ็บหรือมีขบวนการอักเสบ แล้วทำให้ threshold ของตัวรับความรู้สึกปวดมีระดับต่ำลง จึงไวต่อการกระตุ้นมากขึ้นและพร้อมกันนั้น ต้านทานต่อ lidocaine เพิ่มขึ้น

ภาวะที่ส่งผลให้ threshold ของ pain receptors ต่ำลงและทำให้เกิดความรู้สึกปวดแม้ได้รับตัวกระตุ้นในระดับปกติ เรียกภาวะนี้ว่า Allodynia (ที่น่าสนใจคือ ในหนังสือจัดให้อาการที่คนไข้มาพบเราด้วย อาการเสียวฟัน (Hypersensitivity) คือ อาการปวดในระยะแรกได้แบบหนึ่งเหมือนกัน) ดังนั้นเวลาที่เราพยายามให้คนไข้แยกความรู้สึกว่า จริงๆ เสียวหรือปวด? จึงไม่ค่อย work ครับ เพราะการแปลผลของ pain ในระยะเริ่มต้นมันแสดงออกว่าเป็น เสียวฟัน ได้เหมือนกัน (จึงต้องดูองค์ประกอบอื่นด้วย)

บทที่ 2 และ 3 เป็นเรื่อง Pharmaco ล้วนๆ ครับ โดยแยกบทที่ 2 เป็น NSAIDs และ Paracetamol ส่วนบทที่ 3 เป็นยากลุ่ม Narcotic

เรื่อง NSAIDs ท่านอาจารย์แยกระหว่าง NSAIDs แบบดั้งเดิม เช่น Ibuprofen etc. เป็น tNSAIDs (traditional NSAIDs) และ NSAIDs กลุ่มใหม่ที่มีการออกฤทธิ์แบบเฉพาะเจาะจงกับเอนไซม์ COX-2 รายละเอียดเยอะเหลือเฟือต่อการเลือกนำไปใช้งานครับ ตอนท้ายบทมีตารางสรุปแจกแจงรายละเอียดการใช้งานไว้ดีมาก เช่น ในหญิง Preg ควรเลือกใช้ Paracetamol โดยเฉพาะในช่วงเดือนที่ 6-9 ของการตั้งครรภ์ (NSAIDs ปลอดภัยในเดือนที่ 1-6), ในคนไข้โรคตับ แนะนำให้ใช้ Ibuprofen, คนไข้หอบหืด ให้เลี่ยงไปเลย NSAIDs นอกจากนี้พูดถึง Aspirin โดยเฉพาะไว้อย่างละเอียด

บทที่ 3 เรื่องยากลุ่มฝิ่น เป็นบทสั้นๆ ครับ ถ้าอ่านถึงบทนี้ให้พุ่งความสนใจไปที่ยาตัวนึงคือ Oxycodone ไว้นะครับ มันเป็นยาที่จัดในกลุ่มเดียวกับ Codeine คืออยู่ในกลุ่มที่ออกฤทธิ์จับกับ Opioid receptors ในความแรงระดับปานกลางถึงอ่อน ที่ให้สนใจตัว Oxycodone เพราะในตอนสรุปการใช้งานในบทที่ 4 มี Guidline ที่ recommend ให้ใช้ยาตัวนี้นั่นเองครับ

มาถึงบทที่ 4 ซึ่งเป็นบทสุดท้ายท้ายสุด มีสิ่งที่น่าสนใจอยู่ 3 จุดในบททนี้ คือ 1.การใช้ยาแก้ปวดแบบหลายกลุ่มร่วมกัน (Drug combination หรือ Multimodal analgesia) เพื่อหวังผลในการควบคุม pain ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด 2.เรื่องการให้ยาระงับปวดก่อนถอนฟันหรือผ่าฟันคุด (Pre-emptive analgesia) ความรู้ตรงนี้จะเกี่ยวเนื่องมาจาก ภาวะ Allodynia ในบทที่ 1 ครับ หลักการคือ เราต้องการป้องกันภาวะทำให้ไว (sensitization) ของ nerve (receptors ใน nerve ทั้ง Peripheral และใน Central นั่นแหละ) 3.ตารางสรุปแนวทางการให้ยาระงับปวดในทาง Endo

เรื่อง Pre-emptive analgesia คือการ Premed ยาแก้ปวดก่อนการทำงานครับ โดยหลักการควรให้ยาตัวที่มี Onset เร็วที่สุด พบว่า การให้ Ibuprofen 200 mg ชนิด fast onset จะให้ผลดีกว่าให้คนไข้กิน Ibuprofen 400 mg แบบมาตรฐานครับ (จะได้ระดับยาขึ้นสูงสุดใน 30 นาที เทียบกับแบบมาตรฐานจะขึ้น peak ต้องใช้ 90 นาที จะเห็นว่าต่างกันถึง 3 เท่า)

แต่ก็มีการแนะนำให้ใช้ Ibuprofen 400 mg หรือ Paracetamol 1000 mg ใช้ Premed ก่อน 30 นาที ในงาน Endo ครับ

ใน case คนไข้ Hot tooth ที่ฉีดยาชาแล้วไม่ยอมชา มีคำแนะนำให้ใช้ NSAIDs ที่มี fast onset กินก่อนฉีดยาชาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของยาชาด้วยครับ (กินก่อน LA เพื่องาน Endo) ถามว่าทำไมต้องเฉพาะ Endo เพราะพบว่างาน Oral Surg, RCT หรือ Perio อาการปวดมีผลได้ต่างกันครับ เช่นอาการ acute irreversible pulpitis กับอาการ chronic periodontitis หรือปวดจาก pericoronitis การศึกษาผลและประสิทธิภาพจากยาจึงออกมาได้ไม่เหมือนกัน (ในหนังสือ มีอธิบายไว้)

นอกจากอาการปวดจาก Odontogenic origin ท่านอาจารย์ก็ได้เขียน cover ไปในส่วนที่มาจาก Nonodontogenic ด้วยครับ มีพูดถึงยาและแนวทางในการใช้พอเป็น idea ไม่ลงรายละเอียดให้วุ่นวายใจมากนัก

หลังอ่านหนังสือเล่มนี้จบ จะเข้าใจ ในการทำความรู้จักและเลือกใช้ยาระงับปวดได้อย่างมั่นใจ รวมถึงสามารถ recall ความรู้ที่เคยมี (เคยเรียน) ในระดับ Preclinic ให้ข้ามเวลามาเชื่อมต่อกับประสบการณ์การทำงานในปัจจุบันของทุกท่านที่สนใจเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดีครับ

ราคาหนังสือจากปกเล่มละ 200 บาทครับ แต่ถ้า สั่งซื้อ Online จะลดเหลือ 180 บาท (เงื่อนไขของการสั่งคือ ต้องมียอดสั่งหนังสือรวม 700 บาทขึ้นไป จึงจะส่งถึงบ้านฟรีนะครับ สำหรับ CUbook)

สรุป—>จ่าย Ibuprofen 600-800 mg+Paracet 1000 mg (ถ้าคนไข้มีปัญหากับ NSAIDs ให้ปรับจาก NSAIDs เป็น Narcotic แทนที่ คือใช้ Codiene 60 mg) ในกรณีที่ปวดแบบรุนแรงสุด จะใช้เป็น Ibuprofen 600 mg+Paracetamol 1000mg+Oxycodone 10 mg (ถ้าคนไข้มีปัญหากับ NSAIDs ให้ตัด Ibuprofen ออก ตัวที่เหลือคงเดิม)